เดลล์เคยเปิดตัว Lattitude 10 แท็บเล็ต Windows 8 พลัง Atom ไปเมื่อปีก่อน โดยตอนนั้นเปิดตัวเฉพาะรุ่น Standard เน้นตลาดองค์กรโดยเฉพาะด้วยความทนทาน และพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน อ่านสเปคได้จากข่าวเก่าเลยครับ
วันนี้เดลล์ ประเทศไทยนัดบล็อกเกอร์มาให้ลองจับแท็บเล็ตรุ่นนี้อีกรอบ คราวนี้มีรุ่น Essential ที่ราคาถูกกว่ามาด้วย
ว่ากันด้วยสเปครุ่น Standard กับ Essential นั้นแทบไม่ต่างกันยกเว้นรายละเอียดภายนอกเครื่องอย่างพอร์ต micro HDMI, ช่องใส่ซิมการ์ด และแบตถอดได้ซึ่งเป็นฟีเจอร์เฉพาะของรุ่น Standard ขึ้นไปเท่านั้น ราคาทั้งสองรุ่นเปิดมาที่ 24,900 บาท และ 21,900 บาท (ราคายังไม่รวมภาษี)
ภายในงานมี Latitude 10 รุ่น Standard มาให้จับด้วย ลองไปดูรอบๆ เครื่องกันครับ
ด้านหน้าของ Latitude 10 มาเรียบๆ ไม่ต่างกับแท็บเล็ตทั่วไป ด้านล่างของจอมีปุ่ม Windows ตามมาตรฐานแท็บเล็ต Windows 8 ที่เห็นขอบด้านล่างเป็นพอร์ตสำหรับชาร์จ และพอร์ต micro USB
ขอบด้านขวาบนมีพอร์ต micro HDMI (เฉพาะรุ่น Standard ขึ้นไป), พอร์ต USB ขนาดเต็ม และพอร์ต 3.5 มม.
ข้ามมาขอบด้านขวาซ้ายมีปุ่มปรับเสียง และช่องสำหรับล็อกตัวเครื่อง
ด้านบนไล่จากซ้ายมาขวามีปุ่มปรับการหมุนหน้าจอ ปุ่มเปิดเครื่อง และช่องเสียบการ์ด SD ข้างๆ กันมีรูไมโครโฟนสองช่องสำหรับรับเสียงสเตอริโอเวลาถ่ายวิดีโอครับ
ฝาหลัง Latitude 10 รุ่น Standard จะเห็นขอบแบตเตอรี่ชัดเจน วิธีถอดแบตจะต้องเลื่อนปุ่มล็อกแบตเตอรี่จนสุดก่อนดึงแบตออกมา (แต่ใส่กลับยากนะ) ถอดแบตออกมาแล้วจะเห็นหน้าตาแบตแบบนี้ครับ
ตัวแบตมีความจุ 30 วัตต์ชั่วโมง สำหรับรุ่น Standard ที่เปลี่ยนแบตได้จะมีรุ่นความจุ 60 วัตต์ชั่วโมงขายแยกด้วย ตัวแบตจะหนาขึ้นอีกนิดหน่อยครับ น่าเสียดายไม่มีของให้เห็นในงาน
กล้องหลังของ Latitude 10 ใส่มาให้ 8 เมกะพิกเซล คุณภาพอยู่ในระดับพอไปวัดไปวา ไม่เหมาะกับการเอาไปถ่ายรูปจริงจังนัก (แค่ยกขึ้นมาถ่ายก็ลำบากแล้ว)
ขอบด้านหลังทั้งสองข้างจะเป็นช่องลำโพง ในร้านค่อนข้างเสียงดังเลยไม่รู้ว่าเสียงเป็นยังไงบ้างครับ
เท่าที่ลองจับในงาน Latitude 10 นั้นใช้งานได้แทบไม่ต่างกับคอมฯ ทั่วไปถ้าหากมีด็อกที่มาพร้อมกับพอร์ตอีกเท่าตัว ประสิทธิภาพอาจไม่สู้โน้ตบุ๊ก หรือพีซีตั้งโต๊ะ (ผลทดสอบ Windows Experience Index อยู่ราวๆ 3-4 จากคะแนนเต็ม 9.9) แต่ก็ชดเชยด้วยความคล่องตัว และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ค่อนข้างนาน อ้างอิงจากที่เดลล์ระบุมาก็อยู่ที่ 6-8 ชั่วโมง
อีกจุดเด่นของมันคือความทนทาน ในงานมีการ drop test สูงประมาณหน้าอกด้วย (เสียงดังสนั่นหวั่นไหว) พร้อมกับไปยืนเหยียบอยู่เดี๋ยวนึง เครื่องก็ยังทำงานได้ดี จอไม่แตก สมราคาแมกนีเซี่ยมอัลลอย และน้ำหนักเจ็ดขีด :P
แถมถ้าใครคิดว่ายังถึกไม่พอ ยังมีเคสหุ้มทั้งตัว (คล้ายๆ กับ OtterBox) พอใส่แล้วจะหน้าตาคล้ายๆ กับ Toughbook ของพานาโซนิคอย่างกับแกะ
ถ้าใครมีอะไรสงสัย ทิ้งคำถามไว้ได้เลยนะครับ ตัวจริงมาเมื่อไหร่จะหาคำตอบให้ครับ