ชื่อของ Nick D'Aloisio นักเรียนอังกฤษวัย 17 ปี น่าจะเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นจากนี้ หลังเขาได้ขายแอพ Summly ให้กับยาฮู ด้วยมูลค่าอย่างไม่เป็นทางการราว 30 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 900 ล้านบาท! ความน่าสนใจคือแอพ Summly นั้นเปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วเท่านั้น และสตาร์ทอัพของเขาก็มีพนักงานตอนนี้รวมถึง 5 คน นับว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
D'Aloisio ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Reuters ว่าไอเดียของ Summly เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ระหว่างที่เขาอ่านหนังสือสอบวิชาประวัติศาสตร์ และต้องกูเกิลหาข้อมูลเพิ่มเติม จึงพบว่าข้อมูลนั้นอยู่กระจัดกระจายและไม่มีเนื้อหาสรุปรวบยอด จึงคิดว่าน่าจะมีแอพสักตัวที่สามารถสรุปใจความสำคัญ โดยขนาดเนื้อหานั้นพอดีกับหน้าจอสมาร์ทโฟนได้
เขาพัฒนา Trimit ขึ้นมาเป็นแอพรุ่นแรก โดยสร้างอัลกอริทึมตัดเนื้อหาไม่ให้ยาวเกิน 400 ตัวอักษร จากจุดนี้ทำให้เขาได้ทุนสนับสนุน 250,000 ดอลลาร์จากมหาเศรษฐีชาวฮ่องกง Li Ka-shing และทำให้เขาได้ทุนเพิ่มเติมจากผู้สนับสนุนที่มีชื่อเสียงทั้งดารา Ashton Kutcher, ศิลปิน Yoko Ono ภรรยาของ John Lennon ไปจนถึงเจ้าพ่อสื่อ Rupert Murdoch
D'Aloisio บอกว่าถ้าคุณมีไอเดียที่ดี หรือค้นพบช่องว่างในตลาด ก็ขอให้ลงมือทำมันเลย เพราะมีนักลงทุนทั่วโลกที่พร้อมสนับสนุนความคิดเหล่านี้ ซึ่งก็เหมือน Summly ที่เขาได้รับความคิดดีๆ จากผู้ให้ทุน และมันก็ประสบความสำเร็จในที่สุด ด้วยยอดดาวน์โหลดกว่าล้านครั้งบน App Store เขายังบอกว่านอกเหนือจากเงินทุนสนับสนุนที่ดีแล้ว ทางบ้านและโรงเรียนก็ยังมีส่วนช่วยในการสนับสนุนในสิ่งที่เขาทำอยู่เช่นกัน
ที่ผ่านมาเขาต้องเจรจาข้อตกลงกับสื่อราว 250 เว็บไซต์ ซึ่งเขาต้องคอยอธิบายว่า Summly ช่วยเพิ่มทราฟฟิกให้กับเว็บเหล่านั้นได้ การขายกิจการให้ยาฮูช่วยให้ฐานข้อมูลข่าวนั้นกว้างมากขึ้นเพราะยาฮูมีข้อตกลงอยู่ก่อนแล้ว
D'Aloisio เริ่มหัดเขียนโค้ดเมื่ออายุ 12 ปี ซึ่งก็เป็นช่วงเดียวกับที่แอปเปิลเปิดตัว App Store โดยเขาเคยทำแอพอย่าง Facemood ที่วิเคราะห์อารมณ์ของผู้ใช้งาน Facebook ไปจนถึงแอพค้นหาเพลงที่ชอบอย่าง SongStumblr ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ในย่านวิมเบิลดัน กรุงลอนดอน
สำหรับคำถามที่หลายคนสงสัยเรื่องการศึกษาต่อ เขาบอกว่าตอนนี้เขาเองก็กำลังเตรียมตัวสอบ A-levels ซึ่งใช้สำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยสนใจศึกษาในสาขามนุษยศาสตร์ และในข้อตกลงกับยาฮู เขาก็ได้รับอนุญาตให้เรียนมหาวิทยาลัยในระหว่างทำงานได้ด้วย สุดท้าย D'Aloisio บอกว่าเขาไม่คิดว่าตนเองเป็น geek เท่าใดนัก เพราะยามว่างเขาชอบเล่นกีฬา สนใจงานออกแบบ และชอบไปเที่ยวเล่นกับแฟนมากกว่า
ที่มา: Reuters