ในบรรดาสินค้ามากมายที่เปิดวางขายในงาน Mobile Expo ที่ผ่านมา ตัวที่อยู่ในความสนใจของผมที่สุดคงเป็น Asus Fonepad ที่เป็นแท็บเล็ตราคาถูก สามารถใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้ และยังใช้ชิปอินเทลเป็นแกน
แท็บเล็ต 7 นิ้วอาจจะต้องยกเครดิตให้กับซัมซุงว่าเป็นผู้บุกตลาดมาก่อนเป็นเวลานาน แถมยังใส่ฟีเจอร์ “โทรศัพท์แนบหน้า” ที่แม้หลายคนจะค่อนข้างรู้สึกว่าแปลกเมื่อใช้งาน แต่สำหรับหลายคนที่ต้องการอุปกรณ์แบบ “ตัวเดียวจบ” และไม่ต้องการถืออุปกรณ์ต่อพ่วงใดๆ ทั้งสิ้น ฟีเจอร์เช่นนี้กลับเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก และซัมซุงเองก็ใส่ไว้เสมอแม้แต่เครื่องที่ใหญ่ขึ้นอย่าง Note 8
Fonepad เข้ามาในตลาดส่วนนี้อย่างน่าสนใจ ด้วยการวางราคาเริ่มต้นให้ต่ำกว่ารายอื่นๆ อย่างมาก แม้แต่ซัมซุงเองที่วางราคา Galaxy Tab 7 เอาไว้ที่ 9,900 บาท (ราคาตั้งรุ่น 3G) พอมาเจอกับ Fonepad ที่ราคาตั้งเพียง 7,900 ก็เล่นเอาหลายคนต้องหันมามอง ในงาน Mobile Expo ที่ผ่านมาราคาที่ขายจริงคงอยู่ในช่วง 7,600 บาทเท่านั้น
Asus Fonepad เน้นรูปร่างภายนอกที่เป็นโลหะ ผิวทรายรอบตัวมีเพียงฝาปิดด้านบนเท่านั้นที่เป็นชิ้นพลาสติก ภายในชิ้นพลาสติกเป็นเสาอากาศ สำหรับคนที่ชื่นชอบตัวถังโลหะ ชิ้นพลาสติกด้านบนก็นับว่าเข้าใจได้ว่ามีความจำเป็น
รูปร่างเมื่อไม่มองวัสดุนับว่าใกล้เคียง Nexus 7 เป็นอย่างมาก หน้าจอขนาดเท่ากันที่ความละเอียดเท่ากัน คือ 1280x800 จอภาพที่ค่อนข้างละเอียดกว่าตัวอื่นๆ ในระดับเดียวกันที่มักได้หน้าจอ 1024x768 เป็นส่วนใหญ่ ความละเอียดระดับนี้จะมีผลพอสมควรเมื่อต้องอ่านไฟล์ pdf
พอร์ตเชื่อมต่อมีเพียง micro-USB และพอร์ตหูฟังเท่านั้นก็นับว่าตรงไปตรงมา ไม่สามารถต่อออกจอภายนอกได้เพราะ micro-USB นั้นไม่ใช่พอร์ต MHL พอร์ตนี้จึงมีไว้ชาร์จและซิงก์ข้อมูลเท่านั้น
ตัวซอฟต์แวร์นั้นเป็น Android 4.1.2 ที่ไม่ได้ปรับแต่งอะไรมาก ลองเล่นแล้วพบว่ากราฟิกมีกระตุกบ้างแม้แต่การเข้าหน้า app drawer แต่การใช้งานโดยรวมดีไม่มีปัญหาอะไร
ฟีเจอร์สำคัญที่เพิ่มเข้ามาใน Fonepad ตือ Instant Dictionary ที่สามารถใช้กดพจนานุกรมจากแอพพลิเคชั่นอะไรก็ได้ ในความเป็นจริงแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานได้จะต้องรองรับการ “เลือกข้อความ” จากหน้าจอ ซึ่งก็แทบจะจำกัดอยู่ในกลุ่มอีเมลและเว็บเป็นส่วนใหญ่ แต่ฟีเจอร์เช่นนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับคนจำนวนมาก ข้อเสียคือมันทำงานร่วมกับแอพอย่าง Kindle ไม่ได้ทำให้ผู้ใช้ Kindle ต้องพึ่งพจนานุกรม อังกฤษ-อังกฤษ กันต่อไป
ในรุ่นที่ขายในประเทศไทยจะมีความต่างกับรุ่นในยุโรปและสหรัฐฯ คือรุ่นในไทยนั้นจะมีกล้องหลังความละเอียด 3 ล้านพิกเซลมาให้ด้วย แม้ความละเอียดภาพจะไม่น่าประทับใจ แต่การมีกล้องอยู่ เพื่อให้สามารถพกอุปกรณ์แบบตัวเดียวจบ ก็น่าจะเรียกได้ว่ามีดีกว่าไม่มี
ดูภาพเต็มได้ที่ Google+
ความน่ากังวลของแท็บเล็ตที่ใช้ชิป x86 คือความเข้ากันได้กับแอพพลิเคชั่น แม้อินเทลจะระบุว่า เข้ากันได้กับแอพพลิเคชั่นแทบทั้งหมด แต่ในโลกความจริงก็น่าสงสัยว่าแอพพลิเคชั่น “ส่วนน้อย” ที่ทำงานร่วมกับชิป x86 ไม่ได้นั้นจะเป็นแอพพลิเคชั่นที่เราใช้งานหรือไม่
ผมทดลองเกมและแอพพลิเคชั่นหลักๆ หลายตัว เกมอย่าง OpenTTD ที่เป็นเนทีฟแน่นอนก็ยังทำงานได้ดีบน Fonepad รวมถึงเกมดังๆ ที่ผมซื้อช่วงลดราคามาอีกหลายเกม (note: OpenTTD เป็นเกมน่าจะจัดเข้ากลุ่มเกม “เพื่อการศึกษา” ได้ ถ้าใครซื้อแท็บเล็ตให้ลูกเล่นอาจจะลองพิจารณาเกมนี้ดูครับ) และหลังจากที่ลองใช้งานมาหลายวันก็ยังไม่พบแอพพลิเคชั่นใดใช้งานไม่ได้ แอพพลิเคชั่นที่ผมใช้งานต่อเนื่องในการทดสอบเช่น Instagram, Facebook, LINE, Hangouts, Twitter, Google+, และ Ingress
ซอฟต์แวร์อ่านหนังสือ PDF ที่ติดมาด้วยอย่าง My Library นั้นค่อนข้างแย่ เพราะเรนเดอร์ออกมาไม่สวย ขอบอักษรหยัก และทำงานค่อนข้างช้า ส่วนนี้ใช้ Kindle เป็นตัวอ่าน PDF น่าจะสะดวกกว่ามาก จอภาพ 1280x800 ทำให้อ่านหนังสือที่มีขนาดตัวอักษรใหญ่สักหน่อยโดยแทบไม่ต้องซูมได้สบายๆ
ที่น่าประทับใจมากคืออายุแบตเตอรี่ที่นานกว่าที่คิดไว้มาก การใช้งาน Fonepad ตามรูปแบบการใช้งานของผม เช่นเปิดแชตและ 3G ไว้ทั้งวัน เปิด Ingress ขึ้นมาเล่นบ้างวันละ 1-2 ชั่วโมง พบว่าแบตเตอรี่ยังคงเพียงพอและต้องชาร์จหลังกลับบ้านมาเท่านั้น (รวมเวลาใช้งาน 13-14 ชั่วโมง) เคยมีการทดลองเล่น YouTube ต่อเนื่องได้ถึง 8 ชั่วโมงมาแล้วก่อนหน้านี้
จุดเด่นที่สุดของ Fonepad คงเป็นเรื่องของราคาที่นับเป็นแท็บเล็ตที่โทรศัพท์ได้ที่ราคาถูกที่สุดในบรรดาแบรนด์หลักๆ มันทำงานได้ดีภายใต้แนวคิด “มีเท่าที่จำเป็น” มันไม่มีฟีเจอร์หวือหวาเช่น การต่อภาพออกจอทีวี, NFC, หรือปากกา แต่ถ้าการใช้งานคือการอ่านเอกสารที่ใช้งานบนโทรศัพท์ลำบาก ไม่ได้ต้องการเล่นเกมมากไปกว่าเกมเล็กๆ ฆ่าเวลา และไม่ต้องการพกโทรศัพท์เพิ่มเติมอีกเครื่อง ก็นับว่า Fonepad ตอบโจทย์ทุกอย่าง มันทำงานได้ดี จอภาพละเอียดคมชัด, และมีอายุแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างน่าประทับใจ