เว็บ Wongnai นับว่าเป็นเว็บที่ค่อนข้างใหม่ในวงการ แต่หลายคนคงเคยได้ยินและได้ใช้งานกันมาเรื่อยๆ จากการเป็นเว็บรวมข้อมูลร้านอาหารที่ครบถ้วน ภายในเวลาไม่นานนัก ฐานผู้ใช้ของวงในก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว วงการเว็บแนะนำร้านอาหารเริ่มได้รับความสนใจจากบริษัทจำนวนมากอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้
ทีมงานนี้ได้มีการเติบโตที่ดีจนกระทั่งล่าสุดบริษัท Recruit Strategic Partners บริษัทลงทุนได้เข้ามาให้เงินลงทุนในตัวเว็บเพื่อให้ขยายกิจการ ผมพบว่าทีมงานนี้น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเท่าที่ทราบก่อนหน้านี้ เว็บวงในเองมีรายได้อย่างต่อเนื่องแต่ทีมงานก็ยังคงรับเงินทุนเพื่อขยายงาน ในตอนนี้เราจะมาสอบถามถึงความเป็นไปของทีมงานนี้กัน
Blognone: ทีมงานเป็นใครกันบ้าง เริ่มฟอร์มทีมกันมาได้อย่างไร และทำไมถึงมาทำวงในกันได้
Wongnai: เราทั้งสี่คน ยอด ชินสุภัคกุล (CEO), ภัทราวุธ ซื่อสัตยาศิลป์ (CTO), ศุภฤทธิ์ กฤตยาเกียรณ์ (Software Architect), วรวีร์ สัตยวินิจ (Development Manager) เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันสมัยเรียนวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเลยรู้จักกันมาก่อนครับ หลังเรียนจบแล้วทั้งสี่คนก็แยกย้ายกันไปทำงานประจำอยู่ช่วงหนึ่ง ยอด (CEO) ได้ไปเรียนต่อ MBA ในสหรัฐฯ ได้พบบริการอย่าง Yelp และใช้อยู่เป็นประจำ พอช่วงเบรกได้กลับมาเยี่ยมเมืองไทย แล้วพบว่าไม่มีบริการแบบเดียวกัน เวลาไปเที่ยวอย่างพัทยาก็ยังหาร้านอาหารที่น่าสนใจยาก การบอกทางก็ทำได้ลำบาก จึงได้ชักชวนเพื่อนๆ มาร่วมกันทำบริการแบบนี้ในเมืองไทย
Blognone: ช่วงแรกพัฒนากันอย่างไร และทีมงานใช้ใครพัฒนาบ้าง
Wongnai: เราฟอร์มทีมกับและเริ่มพัฒนาจริงกันช่วงต้นปี 2010 หลังจากนั้นยอดก็บินกลับไปเรียนต่อโดยระหว่างนั้นโปรเจคก็เริ่มดำเนินไป ช่วงแรกก็พัฒนากันหลังเลิกงานนี่ล่ะครับ (ตอนนั้นทุกคนยังทำงานประจำกันอยู่) แต่ต้องประชุมออนไลน์กันทุกอาทิตย์ หกเดือนหลังจากนั้นตัวเว็บ Wongnai.com ก็พร้อมเปิดให้บริการ
Blognone: แล้วออกมาทำเต็มเวลากันได้อย่างไร ทำไมถึงตัดสินใจว่าจะลงมาทำเต็มเวลากันได้
Wongnai: ช่วงเว็บใกล้ให้บริการก็เริ่มคิดกันว่าเว็บต้องการคนทำเต็มเวลาแล้วจริงๆ ก็ทยอยกันออกมากันทำเต็มเวลาทีละคน จนกระทั่งอีกหนึ่งปีก็ออกมาจากงานประจำกันครบทั้งหมด
Blognone: ทำไมถึงมั่นใจว่าเว็บนี้ต้องการคนมาทำเต็มเวลา
Wongnai: ส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะว่าเว็บมีคนใช้เยอะขึ้น แต่สำหรับผม ผมพบว่าช่วงเวลาหกเดือนที่ได้ทำเว็บมันมีความสุขกว่าการทำงานประจำ พอกลับถึงบ้านก็จะมานั่งทำต่อด้วยความสนุกที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ดี อีกอย่างคือถ้าผ่านช่วงนี้ไปแล้วเราก็คงหมดไฟ แล้วก็คงจะมาเสียดายทีหลังว่าไม่ได้ทำ
Blognone: ไม่กลัวเจ๊ง ทำเสร็จแล้วไม่มีใครใช้
Wongnai: ตอนนั้นคิดว่า เอาน่า ลองก็คือลอง และบวกกับความเชื่อว่าสมัยที่เราเรียนอเมริกาก็มีบริการแบบนี้ ประเทศต่างๆ ก็มีเว็บแบบเดียวกัน และคนก็ใช้กันเยอะ แม้แต่เราเองก็เป็นผู้ใช้ประจำด้วยเวลาหาร้านอาหาร ก็มีความเชื่อว่ายังไงบริการแบบนี้ก็ต้องประสบความสำเร็จ
ฺBlognone: แล้วอย่างนี้ช่วงแรกไม่มีรายได้แล้วทำยังไง
Wongnai: เริ่มแรกสุด ยอดเป็นคนลงทุนก้อนแรก คนที่เหลือก็ออกแรง ช่วงนั้นทุกคนก็พอมีเงินเดือนใช้อยู่ ถึงจะไม่เท่าที่เคยได้ตอนทำงานประจำ รายรับอีกส่วนหนึ่งก็เป็นการรับเขียนโปรแกรมให้ลูกค้าต่างประเทศบ้างในประเทศบ้าง ก็เรียกได้ว่ารับงานนอกเข้ามาเลี้ยงโครงการหลัก
Blognone: ทำอย่างนั้นอยู่นานไหม
Wongnai: จนถึงตอนนี้ก็ยังมีลูกติดพันมาเล็กน้อย เรียกได้ว่าตั้งแต่ทุกคนเริ่มลาออกมาทำเต็มเวลา จนถึงช่วงที่เราเริ่มรู้ว่าจะได้ทุน ก็ทำมาตลอด แต่ช่วงหลังก็ไม่รับเพิ่มแล้วเพราะเราอยากโฟกัสกับงานของเราเองมากกว่า
Blognone: กว่าที่รายได้จะเลี้ยงตัวเองได้จริงๆ นานแค่ไหน
Wongnai: ประมาณสองปีจากที่เปิดมา
Blognone: ช่วงเริ่มต้นแอพจะแทบไม่มีข้อมูล เริ่มต้นยังไง
Wongnai: เริ่มต้นเราก็หาข้อมูลต่างๆ จากสมาคมและหน่วยงานต่างๆ ขอรายชื่อร้านอาหารแล้วมาคีย์ลงเว็บกันเอง รวมถึงจ้างทีมงานมาโทรตามร้านทีละร้านเพื่อขอข้อมูลโดยละเอียด ทีมงานทุกคนก็ช่วยกันเพิ่มร้านในพื้นที่ตัวเองคุ้นเคยด้วย เราเคยมีสละเวลางานวันนึงเพื่อให้ทุกคนแยกย้ายไปตามพื้นที่ใกล้บ้านตัวเองแล้วเพิ่มร้านด้วยนะ และสุดท้ายคือเราอนุญาตให้ผู้ใช้เว็บสามารถเพิ่มร้านได้เองด้วย
Blognone: เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปเพิ่มข้อมูลเข้ามาด้วย
Wongnai: ตั้งแต่เปิดเว็บมาเราก็เปิดให้ผู้ใช้เข้ามาช่วยเพิ่มข้อมูลให้ แต่ปริมาณก็ไม่ได้ขึ้นเร็วมากนักเพราะให้ผู้ใช้ปักหมุดบนแผนที่มันต้องใช้ความพยายามพอสมควร พอมีแอพบนโทรศัพท์มือถือก็เริ่มสะดวกขึ้นเพราะผู้ใช้สามารถเพิ่มข้อมูลได้ตั้งแต่เวลาที่อยู่ในร้านไม่ต้องรอกลับบ้านมานั่งหน้าคอมพิวเตอร์
Blognone: คนที่อินพุตข้อมูลเหล่านี้เป็นใคร เป็นผู้ใช้หรือเจ้าของร้าน มีปัญหาข้อมูลมั่วไหม
Wongnai: ส่วนมากจะเป็นผู้ใช้ที่อยากให้เว็บมีข้อมูลมากๆ ครับ ส่วนช่วงแรกกลุ่มผู้ก่อตั้งก็เป็นผู้เอาข้อมูลมาใส่เองนี่แหละ เพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็ต้องใช้ของที่เราสร้างขึ้นมา ปัญหาข้อมูลไม่ถูกต้องก็มีครับ ด้วยจำนวนข้อมูลที่มีปริมาณมากและมีข้อมูลใหม่เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ ตลอดเวลา เราคงไม่สามารถตรวจสอบให้ถูกต้องทั้งหมดได้รวดเร็ว เลยมีระบบให้ผู้ใช้รายงานเข้ามาได้ว่าข้อมูลส่วนไหนไม่ถูกต้อง แล้วแอดมินก็จะตรวจสอบก่อนทำการแก้ไขครับ ซึ่งก็ช่วยได้เยอะครับ
Blognone: ทุกวันนี้ยังต้องมีคนมาช่วยคีย์ข้อมูลอยู่ไหม
Wongnai: ไม่มีคนคอยคีย์ข้อมูลปริมาณมากๆ เหมือนตอนเริ่มต้นแล้วครับ เพราะเราเช่าใช้ข้อมูลจาก NOSTRA ส่วนหนึ่งด้วย เมื่อรวมกับที่เรามีอยู่แล้วตอนนี้ก็มี POI มากกว่าหนึ่งแสนจุดแล้วก็นับว่าครบถ้วน แต่ก็ยังมีปัญหาข้อมูลซ้ำอยู่บ้างที่ต้องปรับปรุงต่อไป คนที่คีย์ข้อมูลมากๆ ก็เปลี่ยนเป็นคนที่คอย approve ข้อมูลแทน เวลามีคนรายงานเข้ามาว่าพบข้อมูลที่ไม่ถูกต้องครับ
Blognone: มีคนพัฒนากันอยู่สามคน จัดการกันอย่างไรว่าจะพัฒนาบนโทรศัพท์และเว็บ
Wongnai: เล่าประวัติให้ฟังนิดนึง ช่วงแรกเรามีผู้พัฒนาอยู่ 3 คนรุมกับทำเว็บอย่างเดียว พอเริ่มทำแอพบนมือถือมาแต่ละแพลตฟอร์ม ก็กระจายกำลังกันไปแพลตฟอร์มละหนึ่งคน (Web/iOS/Android) แต่ปัจจุบันเรามีได้พนักงานทั้ง full-time และ part-time มาช่วยเพิ่มด้วย ล่าสุดตอนนี้มีคนดูแลแต่ละแพลตฟอร์มๆ ละ 2 คนครับ (รวม parttime แล้ว)
ฺBlognone: อย่างนี้มุมมองคือสตาร์ตอัพควรเป็นนักพัฒนากันเองด้วย?
Wongnai: สำหรับผมแล้วคิดว่าควรนะครับ ไม่งั้นจะเหนื่อย อย่างน้อยมันต้องได้คุมเองอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้ดั่งใจเรา ได้สัมผัสกับสิ่งที่ตัวเองสร้าง และสตาร์ตอัพบ้านเราก็ไม่ได้มีเงินก้อนใหญ่ๆ ที่จะดึงดูดคนเก่งๆ มาได้ซักเท่าไหร่
Blognone: ทีมพัฒนาเล็กมาก ได้ทุนมาแล้วมีแผนจะขยายทีมไหม
Wongnai: ขยายครับ เรามีสิ่งที่อยากทำเพิ่มอีกเยอะทั้งฝั่งเว็บและแอพ ถ้าใครสนใจติดต่อเข้ามาได้เลยนะครับ
Blognone: ตอนนี้มีพนักงานกี่คนแล้ว
Wongnai: ตอนนี้มี 16 คนแบ่งหลักๆ เป็นทีมเนื้อหา, ทีมขาย, ทีมการตลาด, และทีมพัฒนา
Blognone: ปีสองปีที่ผ่านมากระแสเว็บดีลเยอะมาก รวมถึงเว็บที่น่าจะเป็นคู่แข่งโดยตรงอย่าง Foursquare กระทบบ้างไหม
Wongnai: สำหรับเว็บดีล ผมว่าไม่กระทบในทางลบนะ เพราะคนที่ซื้อดีลเองก็น่าจะอยากได้ข้อมูลร้านก่อนที่เขาจะซื้อดีล ส่วนเว็บอย่าง Foursquare นี่กระทบครับ แต่เค้ามาก่อนเราอยู่แล้ว สิ่งที่แตกต่างคือข้อมูลใน Foursquare ส่วนมากจะเป็นทิบสั้นๆ ขณะที่ของเราจะเป็นบทความรีวิวพร้อมให้เรตติ้ง ยิ่งช่วงก่อนหน้านี้เขายังไม่มีระบบเรตติ้งทำให้มันมีจุดต่างที่ค่อนข้างชัดเจนครับ
ฺBlognone: ตอนนี้ผู้ใช้มีเท่าไหร่แล้วครับ
Wongnai: จนถึงตอนนี้จำนวนผู้ใช้ที่ลงทะเบียนรวมประมาณ 570,000 คน
Blognone: ผู้ใช้มีความเป็นชุมชนสูงไหม
Wongnai: ยังไม่สูงเท่าที่เราหวัง จะมีกลุ่มแกนที่ใช้เยอะๆ ก็จะรู้จักกัน เราก็มีปาร์ตี้บ้าง เราเองหวังให้มีกลุ่มแบบนี้เยอะๆ ทั่วประเทศ ผู้ใช้ส่วนใหญ่ตอนนี้ก็ยังเป็นกลุ่มผู้อ่านที่เราเข้ามาอ่าน แต่เราเริ่มพยายามทำให้ผู้ใช้คุยกันมากขึ้น เราเริ่มเพิ่มเว็บบอร์ดและระบบข้อความส่วนตัวถึงกัน เพื่อให้ผู้ใช้ได้พูดคุยกันนอกเรื่องบ้าง หรือบางครั้งผู้ใช้ก็อยากจะติดต่อกันแบบส่วนตัว อย่างผมเองก็เคยมีคนจะให้ยืมบัตรลด แต่ก็ไม่มีช่องทางให้ติดต่อโดยตรง ตอนนี้มีแล้ว คิดว่าน่าจะช่วยได้เยอะครับ
Blognone: บางทีมีปัญหาคอมเมนต์แย่ มีปัญหากับร้านค้าบ้างไหม
Wongnai: มีครับมีถึงกับร้านขอให้ลบหน้าร้านของเขาออกไปเลยก็มี หรือรุนแรงขนาดบอกว่าจะฟ้องกันก็มี รีวิวไหนที่เราพบว่าทำผิดเงื่อนไขการใช้งานเว็บเราจริง ทางเราก็ต้องประสานงานให้ ก็ติดต่อคนเขียนไปก่อนว่าข้อความมีปัญหา คนเขียนยินยอมไหมที่จะให้เราลบให้ ก็ต้องประสานงานเข้าของข้อความก่อนเสมอ เพราะหากลบทันทีก็นับว่าไม่แฟร์กับเขา
Blognone: ตอนนี้การมีส่วนร่วมของร้านค้ายังน้อยอยู่ มีแผนจะเพิ่มบ้างไหม
Wongnai: มีครับ อย่างเช่น เพิ่มหน้าเพจให้ร้านค้าเข้ามาจัดการเอง
Blognone: มาเรื่องธุรกิจ ถึงจุดไหนที่บอกได้ว่าจะเริ่มหาเงินจากเว็บแล้ว
Wongnai: จริงๆ ก็เริ่มลองมาตั้งแต่ปี 2011 และมาลงทุนในทีมเซลล์มากขึ้นหลังจากช่วงที่คุยกับบริษัทลงทุน เขาให้คำแนะนำมาว่าคุณต้องมีทีมเซลล์ที่แข็งแรง เราถึงได้กลับมาดูแล้วคิดว่าจริงๆ เราก็มีผู้ใช้พอสมควรแล้วและควรต้องพัฒนาทีมเซลล์ให้แข็งแรงได้แล้ว เพราะถ้าอยากได้เงินทุนก็ต้องหารายได้ได้ด้วย
Blognone: เงื่อนไขของการรับทุนเยอะไหม
Wongnai: คงแล้วแต่เจ้าครับ อย่างกรณีของวงในทาง Recruit เขาไม่ได้เข้ามายุ่งกับการจัดการอะไร เรายังคงมีความคล่องตัวในการบริหารดีเหมือนเดิมครับ ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ ก็แล้วแต่การตกลงกันด้วย หลักๆ ก็จะมี KPI มาวัดซะหน่อยว่าเราใช้เงินที่ได้มาได้มีประสิทธิภาพมั้ย
Blognone: มีเจ้าอื่นเสนอมาให้มั่งไหม
Wongnai: ก็มีบ้างครับ แต่ที่ปิดกับ Recruit เพราะคิดว่าทาง Recruit น่าจะมาช่วยเราได้เยอะ เค้าเองก็เป็นเจ้าของเว็บที่เกี่ยวกับร้านอาหารที่ญี่ปุ่นอยู่ด้วย แล้วก็คุยด้วยกันหลายๆ ครั้งแล้วก็รู้สึกว่าถ้าทำงานด้วยน่าจะสบายใจครับ
Blognone: อยากทำอะไรต่อจากนี้อีกไหม
Wongnai: ตอนนี้ยังอยากขยายวงในให้ใหญ่กว่านี้ก่อน อย่างน้อยก็ให้มีผู้ใช้เป็นวงกว้างครบทั่วทั้งประเทศครับ
Blognone: ได้เงินมาจะขยายอะไรก่อน
Wongnai: หลักๆ คงเป็นทีมเนื้อหาและทีมเซลล์ เราคงขยายตลาดไปตามเมืองใหญ่ๆ อย่างเชียงใหม่ ชลบุรี อีกส่วนคือทีมการตลาดที่ต้องการให้คนรู้จักเรามากขึ้น
Blognone: เวลามีคู่แข่งใหม่เข้ามา กังวลไหม
Wongnai: เวลาที่มีรายใหม่ทุกครั้งเราก็ต้องว่อกแว่กบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่ก็จะไม่กังวลข้ามวันครับ ก็คิดว่าคอนเทนต์และฐานสมาชิกที่เรามีอยู่ที่ค่อนข้างเยอะก็น่าจะช่วยป้องกันผู้เล่นรายใหม่ๆ ได้อย่างดีครับ
Blognone: ในบรรดาคู่แข่งคิดว่ารายไหนที่แข่งขันด้วยอยู่
Wongnai: คู่แข่งหลักๆ ที่เราแข่งขันด้วยก็คงจะเห็นอยู่บ่อยๆ เวลาค้นหาร้านอาหารด้วย search engine แล้วเจอเว็บนั้นขึ้นอันดับต้นๆ ครับ แต่เค้าจะไม่ใช่เว็บแนวเดียวกัน กับเรา ของวงในจะเป็นเว็บรวบรวมรีวิวจากผู้ใช้ แต่ของเค้าจะออกแนวลิสติ้งมากกว่าครับ
ฺBlognone: แล้วคู่แข่งจากต่างประเทศ กลัวมีรายใหญ่เข้ามาบ้างไหม
Wongnai: ก็มีบ้าง อย่าง Yelp ตอนนี้ก็เข้ามาสิงคโปร์แล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ ก่อนเขาจะเข้ามาเมืองไทยน่าจะประสบความสำเร็จในสิงคโปร์ก่อน ระหว่างนี้หากเราสามารถทำให้เราอยู่ในจุดที่แข็งแกร่ง สุดท้ายหากเขาจะเขามาก็อาจจะต้องเลือกระหว่างไม่เข้ามาเพราะแข่งกับเรายากเกินไป หรือไม่ก็ต้องซื้อบริษัทเราออกไปคล้ายกับ Ensogo กับ LivingSocial แบบนั้น
Blognone: ระหว่างนี้แผนสองถึงสามปีข้างหน้ายังอยู่ในไทยเท่านั้นก่อนไหม
Wongnai: เราคงยังไม่มีแผนถึงสองถึงสามปีข้างหน้า เพราะสุดท้ายจากประสบการณ์ของเราในธุรกิจที่หมุนเร็วแบบนี้ วางแผนระยะยาวไป ถึงเวลามันก็มักจะเปลี่ยนอยู่ดี แต่ในช่วงปีข้างหน้าเรายังสร้างความแข็งแกร่งในไทยก่อนแน่นอน
Blognone: การบุกตลาดในไทยในจังหวัดต่างๆ จะทำอย่างไรบ้าง
Wongnai: การบุกตลาดคือเราจะมีทีมงานอยู่ในพื้นที่ ตอนนี้เราเลือกที่จะเปิดออฟฟิศที่เชียงใหม่ก่อนเพราะเป็นตัวเลือกที่่ง่าย จากการเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม
Blognone: ถามถึงเรื่องการทำสตาร์ตอัพ ช่วงนี้คนเริ่มสนใจทำกันเยอะ ควรคิดถึงเรื่องอะไรจึงจะออกมาทำ
Wongnai: ผมคิดว่าควรดูเรื่องความพร้อม ตั้งแต่เรื่องไอเดีย เรื่องของทีม เรื่องของเงินทุน จนถึงเรื่องของภาระทางบ้านที่ต้องมองว่ารับความเสี่ยงได้ไหม ผมไม่เชื่อว่าการถ้ามีอันนี้บูมแล้วเราต้องวิ่งเข้าไปเป็นแมงเม่า เพราะสุดท้ายการมีบูมมันก็มีรอบของมันอยู่ ตอนนี้อาจจะบูมอยู่ แต่หากคุณไม่พร้อม คุณสายป่านไม่ยาวพอ สุดท้ายคุณอาจจะเจ๊งก็ได้เหมือนกัน คิดว่าไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับการเป็นสตาร์ตอัพครับ
Blognone: มีคนบอกว่าถ้าจะทำสตาร์ตอัพควรทำก่อนสามสิบ
Wongnai: ผมว่าไม่เกี่ยวเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าอายุมันมาพร้อมประสบการณ์ ถ้าคุณอายุสามสิบแล้วมีลูกสองสามคนก็อาจจะไม่มีความพร้อมแล้ว อย่างทืมวงในอายุสามสิบบางคนเพิ่งแต่งงานหรือยังไม่ได้แต่ง ส่วนมากยังไม่ภาระมากนักก็ยังพร้อมรับความเสี่ยงกันอยู่ ประสบการณ์และคอนเนคชั่นต่างหากสิ่งเหล่านี้ก็ต้องใช้ในการทำงาน หากคุณอายุ 25 แต่ยังไม่เคยทำงานเลยก็ยังไม่รู้จักคนที่คุณจะได้รู้จักจากการทำงานที่ต่างๆ สิ่งเหล่านี้ก็จะขาดไป การตั้งสตาร์ตอัพก็เหมือนการมีลูกล่ะครับ มีเมื่อพร้อมจะดีที่สุด ไม่เกี่ยวว่าอายุเท่าไหร่
สนใจมาร่วมทีมกับ Wongnai ดูรายละเอียดได้ที่ Blognone's Jobs