วิสัยทัศน์เรื่องเทคโนโลยีของอดีตผู้นำไทย ทักษิณ ชินวัตร

by narok119
30 April 2007 - 05:38

blog นี้ไม่เป็นข่าวไม่เป็นไร เพราะค่อนข้างหมิ่นเหม่ไปทางการเมือง (อีกแล้ว) พอดีผมพึ่งไปเจอข้อความนี้ในเว็บไซต์ของพรรคการเมืองของอดีตผู้นำ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นข้อความแสดง วิสัยทัศน์เรื่องเทคโนโลยีของไทย

ซึ่งคำพูดทั้งหมดนี้เป็น คำพูดเมื่อปี 2542 เลยอยากลองเอามาให้ดูกันว่าถึงทุกวันนี้ มีเรื่องใดบ้างที่เป็นจริงไปแล้ว มีเรื่องใดบ้างที่ยังไม่เป็นจริง และมีเรื่องใดบ้างที่คาดว่าจะเป็นจริงในอนาคต

"...

Digital Economy คืออะไร Digital Economy ในหนังสือที่เราเคยอ่านกัน คงจำได้ของ Don Tapscott เขาคงหมายเน้นถึงเรื่องการ เกิด revolution ของอินเตอร์เน็ต วันนี้สิ่งที่เราอยากเห็นสังคมไทยเปลี่ยน มันมีปัญหาอยู่พอสมควรว่าสังคมไทยจะ modernise ตัวเองได้อย่างไร อย่าง Dr.Negroponte พูดตอนที่เขามาบรรยายที่เทคโนโลยีพระนครเหนือว่า คนที่อยู่ในระดับที่มีอำนาจตัดสินใจ มักเป็นพวกที่มี analogue thinking ส่วนคนที่เป็น digital thinking มักไม่อยู่ในระดับที่มีอำนาจตัดสินใจ เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างประเทศเรา จึงทำได้ยากและช้า อีกสักครู่เราจะมาคุยกันว่าเราอยู่ตรงไหน และเราจะไปทางไหนดี

ดูโลกแล้วดูไทย ถ้าเรามาดูภาวะประเทศไทยวันนี้น่าตกใจนะครับ แล้วเรามาดูโลก อยากให้พวกเราดูเราแล้วดูโลก ถ้าเราไม่ดูโลกดู แต่ตัวเอง เราก็จะคิดภูมิใจกับความสำเร็จในอดีต ซึ่งมันเป็น big flop ที่จะทำให้เกิดความล้มเหลวในอนาคต บริษัท ธุรกิจหลายแห่งที่เป็น establish สมัยก่อน มีปัญหาคราวนี้เพราะไปภูมิใจกับความสำเร็จในอดีต คิดว่าความสำเร็จ ในอดีตจะเป็นการันตีให้กับอนาคต ที่จริงแล้วมันคนละเรื่อง มันมีหลายอย่างที่ breakthrough

วิธีสร้างความมั่งคั่งที่เปลี่ยนไป ใครได้อ่านหนังสือของ Michael Milken คนที่เล่น junk bond แล้วติดคุกนั่นละครับ ผมว่าหนังสือเขาดีมาก เขาพูดว่าตั้งแต่ศตวรรษที่ 14-20 wealth creation ทั้งหลายมันอยู่แถว ๆ เรื่องของ physic แต่เขากำลังบอกว่า ศตวรรษที่ 21 ขึ้นไป wealth creation จะไปอยู่ที่ bio-technology กับพวก chemistry อันนี้น่าสนใจนะครับ

อินเตอร์เน็ตจะกลายเป็นเขตการค้าเสรี เรื่องของอินเตอร์เน็ต วันนี้เรามีคนใช้อินเตอร์เน็ตอยู่ทั่วโลกประมาณ 150 ล้านคน เขาทำนายว่าในปี 2005 อีก ประมาณ 6 ปีข้างหน้า จะมีคนใช้เป็น double คือ 300 ล้านคน ท่านประธานาธิบดีคลินตันของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็น ประเทศที่มี visionary สูงมาก เขาเดินทุกอย่างเป็นกลยุทธ์หมด เขาพูดไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2541 ว่าเขาจะ ผลักดันให้ WTO ยอมรับให้อินเตอร์เน็ตเป็น free trade zone

ไทยอยู่อันดับไหนในสังคมข่าวสาร แล้วหันมาดูเรา เราคงต้องคิดว่าจะแข่งขันกับคนอื่น เราจะต้องปรับตัวอย่างไร เมื่อเช้าผมดู post database บอกว่าเราอยู่อันดับที่ 45 ของการเป็น information society เมื่อเปรียบเทียบกับทั่วโลก มาเลเซียอยู่ที่อันดับ 34 แล้วทำอย่างเราจะไปถึงตรงนั้น ถ้าเราคิดแบบเดิม แบบ analogue เราไปไม่ถึงหรอกครับ เพราะว่าประเทศที่นำไป แล้วนั้น speed ของเขาจะต่างกับของเรา เพราะจุดที่ยืนต่างกัน สมมติเราห่างจากประเทศหนึ่งประมาณ 10 ปี อีก 10 ปีข้างหน้าเราจะห่างมากกว่า 10 ปี ถ้าเรายังไปใน speed แบบเดิม ถ้าจะไปด้วย speed ใหม่ ต้องคิดแบบ digital การคิดแบบนี้เราสามารถดักทางได้ อย่างสิงคโปร์เขาจะมองว่าโลกจะไปทางไหน ไปอย่างไร แล้วเขาก็จะ วางแผนเพื่อดักรอ แต่ถ้าไม่มีการคิดไกล คิดทำกันไปเรื่อย ๆ ให้คนตกงานกลับไปทำนา ทำไร่ หรือตกปลา ตรงนี้ไม่มี ทางเลย เราคิดอย่างนั้นมันยิ่งกว่า analogue อีกนะครับ ตอนนี้เขาเรียกว่าเป็นยุคของ post information age

องค์กรมีชีวิตเหมือนมนุษย์ ผมอยากให้มองย้อน ใครที่เคยเป็นนักบริหาร และเคยอ่านหนังสือของนักทฤษฎีทางด้านชีววิทยาคนหนึ่ง คือ วอห์น บาโธโลฟี เป็นชาวสแกนดิเนเวียน ผมจำชื่อแน่นอนไม่ได้ เพราะอ่านมาเกือบ 20 ปีแล้วเขาพูดเปรียบเทียบ organization กับ anatomy เขาบอกว่า organization มีชีวิตเหมือนมนุษย์ เป็น system ที่มี sub-system อยู่ในตัว ที่มี interdependent ต่อกัน

ความคิดของ Bill Gates ถ้าใครอ่านหนังสือเล่มล่าสุดของ Bill Gates เรื่อง Business @ the Speed of Thought เขาพูดถึงเรื่อง digital nervous system บอกว่าการที่ร่างกายมนุษย์จะมีปฏิกิริยากับความร้อนความหนาวได้ดี ระบบประสาท ต้องดี ระบบประสาทจะดีได้ก็ต้องมีเลือดหล่อเลี้ยง ประสาทส่วนไหนไม่มีเลือดหล่อเลี้ยงมันจะชาไปเลย เลือดในที่นี้คือ information ดังนั้นต้องมีข้อมูลไปหล่อเลี้ยงระบบประสาท ถึงจะมีปฏิกิริยากับสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว

Digital Nervous System ทีนี้เรามาดู anatomy ถ้าของร่างกายเราก็คือร่างกาย ถ้าของ organization ก็คือบริษัท ทีนี้หันมาดูประเทศ แลัวหันมาดูโลก ประเทศเป็น sub-system ของโลก เพราะเราอยู่ในระบบเดียวกัน ถ้าโลกเป็นมนุษย์คนหนึ่ง วันนี้ โลกเข้าสู่ digital nervous system ของโลกก็คือ backbone กลายเป็นอินเตอร์เน็ต แล้วมีเลือดก็คือ information และพวก e-mail ทั้งหลาย ถ้าเราขยายจุดเล็ก ๆ เราจะเข้าใจระบบดีขึ้น เมื่อเข้าใจก็จะวิเคราะห์อะไรได้มากขึ้น ผมเป็นคนชอบจินตนาการ พยายามมองว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เคลื่อนไหวอย่างไร ถ้ามันใช่ก็คือใช่ แล้วเราก็ปรับวิธีคิดของเราใหม่

เทคโนโลยีข้างหน้า ในแง่ของเทคโนโลยีข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง digital technology ในปัจจุบันมันเป็นเรื่องของ networking ไม่ใช่เรื่องของคอมพิวเตอร์หรือ IC chips เหมือนในยุคต้นๆของ silicon valley แล้ว IC ใน silicon valley รู้มั้ย ครับว่าย่อมาจากอะไร มาจาก Indian and Chinese เพราะที่นั่นคนที่คิดเป็นพวกคนจีนคนอินเดียทั้งนั้น พวกนี้สมอง ดี แต่บังเอิญวันนี้โลกมันกลับขั้ว เมื่อก่อนคนเอเชียมีสายเลือดของการเป็นเถ้าแก่สูงมากตอนนี้เอเชียกลับกลายเป็นมนุษย์ เงินเดือนหมด ขณะที่อเมริกันเมื่อก่อนเป็นมนุษย์เงินเดือน แต่กลับกลายเป็นเถ้าแก่หมดแล้วในวันนี้ เด็กอเมริกันเนี่ย ถ้าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เขาบอกว่ามันเป็น juvenile delinquency แต่ต่อมากลายเป็น entrepreneur ใหญ่ เพราะว่าความคิด และสมองของเขาเร็วกว่า เหนือกว่าระบบการศึกษา

ความท้าทายต่อเด็กไทย ผมเองคิดว่าเด็กไทยวันนี้หลายคน สามารถจะมีความคิดเหนือกว่าระบบการศึกษาของไทยที่จะรองรับเขาได้ บางที พ่อแม่อาจจะมองว่าเด็กคนนี้มันประหลาด แต่ความจริงแล้วเขาหัวไบร์ท ต่อไปโลกข้างหน้าเขาแข่งกันที่สมองนะครับ โลกข้างหน้าจะถูกบังคับให้มี transparency สูง แล้วจะถูกบังคับให้เสรี เพราะฉะนั้นการแข่งขันจึงเปิดให้ทุกคน access เข้าสู่ข้อมูลได้ทุกอย่าง เราจึงต้องพยายามท้าทายเด็กไทยให้ใช้สมองอย่างเต็มที่

พัฒนาการด้าน Digital Technology อนาคตข้างหน้าเป็นการ combine เทคโนโลยีของ digital เข้าด้วยกัน เรื่องของ information ก็เป็นเรื่องของ digital form เรื่องของ superhighway ก็เป็นเรื่องของ digital transmission เรื่องของ intelligent ก็เป็น เรื่องของ digital processing สิ่งเหล่านี้มันจะถูก combine เข้าหากัน อินเตอร์เน็ตก็ต้องถือเป็น invention ของ digital technology age ซึ่งในศตวรรษที่ 21 มันจะมีพัฒนาการด้าน digital technology หลายตัว ผมจะเอาเฉพาะที่เด่น ๆ มาคุยกันหลายอันเกิดขึ้นแล้วในศตวรรษที่ 20 แต่ยังไม่ถูกใช้อย่างกว้างขวาง ยังคาบเกี่ยวอยู่ เพราะว่ายังไม่ saturate ก็เลยยังไม่ไปสู่ commercial scale

Intelligent Interface สิ่งต่าง ๆ กำลังจะเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 เรื่องการ interface จะเป็นลักษณะของ intelligent interface มาก ขึ้น เช่น พวก voice recognition หรือ speech generator หรือ image/visual recognition หรือการอ่าน การ์ดจากลายนิ้วมือ หรืออ่านจากเรตินาของนัยน์ตา มันจะเป็นลักษณะคล้ายจะใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้น

Virtual Reality HDTV จะเข้ามาแบบ digital มากกว่าเป็น analogue หรือจอจะเป็นพวก plasma flat screen มากขึ้น แล้ว ก็จะเป็นโลกของ virtual reality ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มเป็นแล้ว เช่น virtual office, virtual mall, virtual job, virtual operation เทคโนโลยีพวกนี้จะเริ่มเป็นลักษณะ wearable เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ ต่อไปจะเป็นนาฬิกาด้วย เป็น โทรศัพท์ด้วย เป็น fashion products มากขึ้น

On-demand On-demand Concept จะเป็นลักษณะ Prime time is my time. ต่อไปนี้ prime time จะไม่ใช่สถานี โทรทัศน์เป็นคนกำหนดแล้ว เพราะ Prime time is my time. ถูกกำหนดโดย demand เรื่องของ mobility จะมี degree of mobility สูง ไปที่ไหนทั่วโลกสามารถ access ได้หมด จะทำอะไรก็ได้ ต่อไปข้างหน้าจะมี ลักษณะ broadband technology แบบของ satellite ซึ่งคนอยู่ในป่า คุณสามารถเล่นคอมพิวเตอร์ของคุณ โดยใช้ดาวเทียมได้ เป็น broadband ที่สามารถทำ on-demand ได้ ค่าส่งหนังเรื่องหนึ่งเมื่อก่อนแพงมาก แต่ต่อไปจะเหลือแค่เรื่องละ 80 เซ็นต์ครับ เพราะฉะนั้นฮอลลีวู้ดสร้างหนังเสร็จปุ๊บ เอาขึ้นไปเลย สามารถให้คนดู ได้ทั้งโลก นี่คือความมหัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้น

ทุกอย่าง Smart หมด เรากำลังดูโลกกันอยู่นะครับ สักครู่จะมาดูเรากัน ทุกอย่างจึงเป็น intelligent หมด ต่อไปเราจะเจอ smart car, smart house, smart phone, smart road ทุกอย่าง smart หมด เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ smart ก็เหนื่อยหน่อย

Pulse Energy ถ้าใครได้อ่านหนังสือ USA Today ล่าสุดรายงานว่ามีการค้นพบ digital pulse technology จะเห็นว่าเลิก ได้แล้วครับ สำหรับเรื่อง frequency allocation ที่กำลังเขียนกฎหมายเพื่อแย่งคลื่นกัน ทะเลาะกันไม่รู้จบอยู่ทุก วันนี้ คนอื่นเขากำลังจะใช้ pulse energy คือ อาศัยไปกับ radio energy เพราะฉะนั้นจะไม่มีปัญหาเรื่องการ จัดสรรความถี่อีกต่อไป แล้วถ้าตรงนี้สำเร็จ ตอนนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาและขอจดสิทธิบัตร อันนี้เป็น invention ใหม่ เป็น another breakthrough

ทุกอย่างเล็กลง แต่จะเปลี่ยนโลกอย่างรวดเร็ว ต่อไปข้างหน้าระบบเรดาร์ ระบบ GPS สามารถมี accuracy ลงไปถึงขนาดที่รถแทรกเตอร์จะสามารถไปไถนา ได้เอง โดยไม่ต้องมีคนคุม เรดาร์ที่ติดที่บ้านจะสามารถแยกออกระหว่างแมวกับคนได้ ทำให้ไม่ alarm ตลอดเวลา มัน detect ได้ละเอียดขนาดนั้น ทำให้ทุกอย่างเล็กลง อย่าง cellular phone จะเล็กลงมาก cell ของ base station จะสามารถรองรับ subscriber ในบริเวณเดียวกันได้ถึง 2,000-20,000 คน ระบบนี้จะเปลี่ยนโลกอย่าง รวดเร็ว Bill Gates เขาบอกว่าเทคโนโลยีของ Microsoft จะเปลี่ยนทุก 18 เดือน แต่การเปลี่ยนแบบ pulse energy มันเป็นการเปลี่ยนอีกเรื่องหนึ่งเลยนะครับ

ยุค 2000 เป็นยุคของอัตราเร่ง ทีนี้มาดูเรื่องของ organization ภายใต้ digital economy ในยุค 80 organization เรามุ่งเรื่อง quality พอในยุค 90 เรามุ่งที่ process เป็นเรื่อง reengineering พอยุค 2000 จะเป็นยุคของ velocity หรือความเร็ว จะกลายเป็นหัวใจสำคัญมาก อย่างที่ผมพูดเมื่อสักครู่ จากที่ Bill Gates เขียนเรื่อง Business @ the Speed of Thought นั่นคือต้องมี nervous system ที่ดี ต้องมี information feed อย่างสม่ำเสมอและดี มันถึงจะมี velocity ตรงนี้

การแข่งขันจะอยู่ที่ความเร็ว DT จะเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร การแข่งขันจะอยู่ที่ speed เช่น การ respond quickly, access quickly, change quickly องค์กรก็จะกลายเป็น learning organization ที่มีเครือข่าย เป็น digital nervous system ทุกองค์กรจะต้องเพิ่มไอคิวให้กับองค์กรของตนเอง จะเพิ่มได้อย่างไร นั่นคือต้อง ให้คนในองค์กรของตนเองฉลาดขึ้น โดยต้องมีระบบ nervous system ที่ดี ระบบข้อมูลที่ feed ให้เขาสามารถ มี judgement หรือมี decision making ตลอดเวลา

องค์กรต้องมีความโปร่งใสสูง จะไปสู่จุดนี้แสดงว่าองค์กรต้องมี transparency สูงมาก เพราะความลับจะเริ่มเหลือน้อยลง สังเกตดูนะครับว่า ผมเน้นเรื่อง transparency ตลอดเวลา เราเคยชินอยู่กับวัฒนธรรมที่ทุกอย่างเป็นความลับ กลัวคนอื่นจะเลียนแบบ แต่วันนี้เป็นเรื่องของการที่โลกกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ถูกเปิดเผยแล้ว และถูกเลียน แบบแล้ว เราก็ต้องมาคิดใหม่อีก ผู้ชนะคือผู้คิดเกมใหม่นะครับ ถ้าใครคิดเล่นเกมของคนอื่น โอกาสชนะไม่มีหรอกครับ เราต้องคิดเกมให้คนอื่นเล่น อย่าไปเล่นเกม IMF อย่างที่เป็นมาเลยครับ

กลายเป็น Learning Organization องค์กรจะปรับเปลี่ยนจาก functioning organization เป็น process-oriented organization และใน ที่สุดก็กลายเป็น learning organization ระบบการบริหารจะไม่เป็น hierarchy อีกต่อไป จะเป็นลักษณะของ เครือข่ายที่เป็น node แต่ละระดับการบริหารทุกคนจะเป็น node และจะโยงใยกัน ข้ามไปมากันได้ ไม่มีการมาบอก กันว่าคนนี้มาข้ามหัวอีกต่อไป organization เกือบจะเหมือนกันหมด เป็นลักษณะ networking หมด เพราะฉะนั้น ใครกำลังทำธุรกิจอยู่ ให้รีบไปปรับ organization ของตัวเอง แต่จะปรับได้อย่างนั้น ต้องมี digital nervous system ของตัวเองที่แข็งแรง ระบบการไหลของข้อมูลต้องดี ไม่เช่นนั้นจะไป networking ไม่ได้

อย่าต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ผมอาจจะพูดอะไรที่เร็ว แต่ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มาแน่นอน Change before you are forced to change. อย่าไป resist มัน ต้องพยายามขี่บนจรวดลำนี้ให้ได้ ไม่ใช่พอเห็นจรวดมา ไปด่าจรวด ไม่ได้นะ ต้องขึ้นขี่เลย เราจะ ได้ไปเร็วด้วย ขี่แล้วก็ต้องเกาะให้แน่น ประเดี๋ยวจะร่วง

การติดต่อสื่อสารคือปัจจัยสำคัญ communication ก็ยังจะเป็น key factor ที่จะทำให้ flow ของ information ไปได้ดี มันจะสอดคล้องกับ ที่เรียกว่า Network organization becoming learning organization. เพราะฉะนั้นระบบ communication ก็จะเป็นหัวใจสำคัญ จะไม่มีคำว่า centralized หรือ decentralized อีกต่อไป จะเป็น networking organization หมด ทุกอย่างจะอยู่ที่ nervous system ของ organization นั้นหมด

รัฐต้องเป็นผู้นำในการปรับตัว เรามาดูภาครัฐกับการเมืองบ้าง รัฐต้องเป็นผู้นำในการปรับตัวให้เข้ากับ post information age ในปี 2000 เรายังไม่ได้เตรียมตัวอะไรกันเลยนะครับ เพราะเราใช้ปี 2543 เราเลยไม่ได้ทำอะไรเลย Y2K เป็นคู่แข่งซิป YKK หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ รัฐบาลจะต้องเป็นตัวนำครับ ต้องเป็นรัฐบาลประเภท open and internetworked government คือเราต้องพยายามเปลี่ยนรัฐบาลปัจจุบันที่เป็น very analogue government ให้เป็น digital ให้มากที่สุด กระทรวงทบวงกรมทุกแห่งต้องมีอินทราเน็ตเป็นของตัวเอง ต้อง cross กันเป็นเอ็กซ์ทราเน็ต แต่การกลายเป็นอินทราเน็ตของประเทศไทย ตรงนี้ต้องทำเร็วเราถึงจะทันโลก

รัฐบาลต้องสามารถสร้างและใช้ Network ถ้าเราคิดว่าไม่ทำตรงนี้ เราก็จะล้าหลังไปเรื่อยๆ อีกหน่อยเราจะแข่งกับเวียดนาม พม่าก็กำลังจ่อเข้ามา ผมเสียใจ มากที่เรายิ่งทำกันไปกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นวันนี้รัฐต้องรีบสร้าง networking ต้องรีบสร้าง digital nervous system และต้อง transform รัฐบาลให้ไปสู่การเป็น internetworked government ให้ได้ รัฐบาลต้องสามารถสร้างและใช้ network เพื่อเชื่อมโยงกับประชาชนและสังคมให้ได้

ต้องติดตั้งอินเตอร์เน็ตในระดับตำบล ผมเคยประกาศว่าผมจะติดตั้งอินเตอร์เน็ตในระดับตำบล ให้ทุกตำบลมี homepage ของตัวเองให้ได้ เพื่อ สามารถเชื่อมโยงระหว่างตำบลได้หมด แล้วก็ให้เด็กบ้านนอกที่อยู่ในตำบลบ้านนอกนี่แหละ มีความสามารถ access information ได้เท่ากับเด็กที่กรุงเทพฯ เป็นการลดช่องว่างการเข้าสู่ข้อมูลระหว่างคนในเมืองกับคนในชนบทให้น้อย ลง เพราะถ้าไม่แก้ไขมันจะกลายเป็นช่องว่างที่เป็นปัญหามากขึ้น เราต้องพยายามทำในลักษณะก้าวกระโดด ให้เด็ก ชนบท สามารถเข้าสู่ข้อมูลได้เท่ากับเด็กกรุงเทพฯ หรือเด็กนิวยอร์ค อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือที่ถ้าเราใช้มันให้เกิด ประโยชน์ มันก็จะลดช่องว่าง แต่ถ้าไม่ใช้มัน มันจะเป็นตัวที่เพิ่มช่องว่างให้หนักยิ่งกว่าเก่า

ต้อง Modernize ประเทศไทย ต่อไปเรื่องระบบภาษี การให้บริการต่างๆแก่ประชาชน หรือการเลือกตั้ง การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ต้องอาศัยผ่าน nervous system ไม่เช่นนั้นช่องว่างระหว่างรัฐบาลกับประชาชนจะมากขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลจำเป็น ต้อง modernize ตัวเอง ถึงเวลาปี 2000 ต้อง modernize ประเทศไทยแล้วครับ

เราต้องเป็น Knowledge Economy มาดูเรื่องของเศรษฐกิจ เราต้องเป็น knowledge economy คือระบบการกระจายการตัดสินใจต้องลงไปยัง ระดับล่างให้มากที่สุด เพื่อให้คนที่มีความรู้ สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นกับข้อมูลที่มัน flow ไป และจัดการกับระบบ process ภายใต้ระบบของ digital nervous system ที่มันเป็นไป จะต้องพัฒนาคนให้มีความรู้ทางด้านนี้ให้ มากขึ้น ต่อไปเรื่องของ bits จะกลายเป็นสินค้าแล้ว เพราะมัน digitize ทั้งหมด Bits becoming goods. ทุกอย่างจึงเป็นสินค้าหมด อะไรก็แล้วแต่ ต้อง convert เป็น digital หมด การ convert ต้องระวังด้วยนะครับ พรรคการเมืองบางพรรคมีปัญหาเรื่อง DAAD (การแปลง digital เป็น analogue และการแปลง analogue เป็น digital) เป็นเรื่องของ converter ที่ไม่ work

นายหน้าจะหมดอาชีพ เศรษฐกิจข้างหน้า middle man จะมีปัญหาครับ ถ้าพวกเขาไม่รู้จักคำว่า add value พวกเขาจบเลย ทำไม นายลี กวนย ูถึงโวยเรื่องอินเตอร์เน็ตเหลือเกิน โวยว่าอยากให้เด็กเอเชียนั่งเฝ้าอยู่หน้าจอทั้งวันเหรอ โวยเพราะอะไร เพราะสิงคโปร์เป็นประเทศที่ร่ำรวยจากการเป็นนายหน้า อินเตอร์เน็ตจะทำให้นายหน้าหมดอาชีพ เว้นแต่นายหน้า นั้นจะเข้าใจวิธี add value

คิดจะก้าวกระโดด ต้องคิดแบบ Digital แล้วต่อไปข้างหน้าจะเป็นลักษณะของ innovation-based economy อย่างที่ผมพูดว่ามันจะมี break through new technology ตลอด เพราะฉะนั้นคนเราจึงต้องมี R&D คือมีสมองที่ breakthrough ไปเรื่อยๆ วันนี้เราเอาของเก่าที่แข่งขันกันมาเป็น 10-20 ปีทิ้งไปเลย เราต้องเขียนโปรแกรมใหม่ กระโดดไป ข้างหน้าเลย สร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา อย่าไปเอาโปแกรมเก่า ๆ มาดัดแปลง เพราะ convert ไม่ทันแล้ว ถ้าคิดจะก้าว กระโดด ต้องคิดแบบ digital

วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์จะสั้นลง เรื่องของ innovation-based economy เป็นสิ่งที่เราจะเห็นได้ชัดขึ้นแล้วก็คนทำมาหากินกับเทคโนโลยี จะต้องเข้าใจว่า product life cycle จะสั้นลงเรื่อยๆ ดูอย่าง Sony ที่เขาคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ปีหนึ่งประมาณ 5,000 รายการ เพราะฉะนั้น การลงทุนทางเทคโนโลยี ความสามารถของมันคือ จะต้องใช้ product ตัวนี้ให้นาน ที่สุดเท่าที่มันยังสามารถแข่งขันได้ การลงทุนเรื่องนี้เปลี่ยนเร็วก็เจ๊ง เปลี่ยนช้าก็เจ๊ง ดังนั้นต้องหาความพอดีให้ได้

ไม่มีช่องว่างระหว่าง Producer และ Consumer ตอนนี้เริ่มจะไม่มีช่องว่างระหว่าง producer และ consumer แล้ว เพราะว่า consumer จะเป็นคนกำหนด ให้ producer ผลิต ใครได้มีโอกาสไปดูบู๊ธของ GE เขามี touch screen ให้คนไปกด เพื่อจะ design appliance ที่ตัวเองต้องการ เช่น ตู้เย็นชอบแบบไหน บานประตูเป็นยังไง จะเอา freezer ไว้ข้างล่างหรือบน เราก็ไปกดเล่นได้ เสร็จแล้วเขาก็จะเก็บพวกนี้ไว้เป็น record เพื่อมาดูว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคต้องการแบบนี้ เขาจะ ผลิตตามที่ต้องการใช้ ผู้บริโภคเป็นคนออกแบบเอง ความใกล้ชิดของ producer และ consumer จะผ่าน website, chat room, e-mail ทำให้ consumer กลายเป็น producer เองอย่างที่ว่า เศรษฐกิจต่อไปจะมีแต่ คำว่า fast เท่านั้น และจะ very globalization ไม่ใช่เรื่องแบบเก่า ๆ อีกต่อไป

เราจะได้ระบบการศึกษาใหม่ มาดูเรื่องของสังคมภายใต้ digital economy เราจะได้อะไรขึ้นมาใหม่ แน่นอนคือ new education system ศูนย์การเรียนจะเริ่ม shift จากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยมากขึ้น การเรียนรู้จะเป็นลักษณะของ life long challenge เป็นการท้าทายอยู่ตลอดเวลา พวกท่านทั้งหลายถ้าอยากเป็นคนฉลาดทันคน ต้องท้าทายตัวเองกับสิ่งใหม่ ๆ ทุกวัน แต่อย่า ไปท้าทายในทางที่ผิด

การทำงานกับการเรียนจะเป็นสิ่งเดียวกัน เรื่องของการทำงานกับการเรียน เริ่มจะกลายเป็นสิ่งเดียวกันและในเวลาเดียวกัน เรียนไปทำงานไป Working and learning become the same thing at the same time. สรุปแล้วคนทำงานต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา digital media ใหม่ ๆ ก็จะทำให้มีการเปลี่ยนเรื่องของการศึกษาเป็น distance learning โลกทั้งโลกกลายเป็น one campus ต่อไปข้างหน้ามหาวิทยาลัยอาจจะลงทะเบียน cross กันได้ transfer หน่วยกิตได้ เช่น ลงทะเบียน ที่จุฬาฯ อาจจะ take course ที่ Harvard บางส่วน ตรงนี้จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตข้างหน้า

Download จะเร็วขึ้นและถูกลง พวก Bible หรือ encyclopedia จะเข้าไปในอินเตอร์เน็ตหมด ไม่ต้องหอบหนังสือไปเรียน สามารถดึงมาจาก อินเตอร์เน็ตได้ ต่อไปการ download จะรวดเร็วมากด้วย breakthrough new technology จะทำให้ speed เร็วขึ้นเป็น 100 เท่า และค่าใช้จ่ายในการ download จะถูกลง

การจ้างงานจะเปลี่ยนไป การจ้างงานก็จะเป็นลักษณะของ more white collar และ more contract and part time employee คน ๆ เดียวจะทำงานหลายบริษัท อาจทำอยู่ที่บ้าน เป็น contract กับเมโทร ซิสเตมส์บ้าง กับสามารถบ้าง กับยูคอม บ้าง คนเดียวอาจจะทำ 3 ที่ มันอยู่ที่ความ smart ของคุณ แต่ที่สำคัญผมอยากเห็นคนหัวดีทั้งหลายคิดเป็นเถ้าแก่เอง อีกสักครู่จะกลับมาตรงนี้อีกที

ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยจะมากขึ้น gap ระหว่างคนจนคนรวยจะมากขึ้นใน information society เพราะโอกาสของการเข้าถึงข้อมูลจะต่างกัน ผมจึงได้บอกว่าผมจะทำอินเตอร์เน็ตระดับตำบล 7,000 ตำบล ถ้าได้ผลดี ผมจะลงถึงหมู่บ้านซึ่งมีแค่ 70,000 เอง รัฐบาลไปอุดหนุนแบงก์เจ๊งตั้งเยอะได้ ทำไมใช้ตรงนี้ไม่ได้ ต้อง modernize ประเทศให้ได้

ต้องตั้งหลักตัวเองให้ดี ทุกคนจะต้องการมีส่วนร่วม เพื่อจะเข้าไปสู่ cyberspace นี้อย่างแน่นอน 35% ของครอบครัวอเมริกันจะมี เครื่อง PC 50% ของวัยรุ่นอเมริกันจะมีเครื่อง PC จะเห็นว่าทุกอย่างมันแปบที่นู่นหมด แล้วในที่สุดก็จะผลักดัน เข้ามาสู่ประเทศของเรา จึงต้องตั้งหลักให้ดีในการ modernize ตัวเอง ไปฝืนไม่ได้หรอกครับ เราจะลำบาก เพราะฉะนั้นการเท่าเทียมกันในเชิงของความรู้ และการเข้าสู่ข้อมูลข่าวสารจะต้องดี

ความสำคัญของ Analytical Power อนาคตข้างหน้า ผมอยากบอกว่าคนหนุ่มอย่างพวกท่านที่เล่นอินเตอร์เน็ตอย่างเก่งอย่างเชี่ยวชาญ การแข่งขันที่ แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ใครมีข้อมูลมากกว่ากันนะครับ มันเลยขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง คือ ใครจะสามารถเลือกและวิเคราะห์ข้อมูล นั้นได้ดีกว่ากัน ใครที่บอกว่า Information is power. บอกแค่นั้นจบ ไม่ใช่แล้วนะครับ Alvin Toffler เขียน หนังสือเล่มนี้ไว้นานมากแล้ว วันนี้มันขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง คือเรื่องของ speed ซึ่งต้องเริ่มด้วยการเลือกและวิเคราะห์ ข้อมูล เพื่อจะนำมาใช้เป็น analytical power เป็นจุดที่สำคัญมากที่จะทำให้คนเก่งกว่ากัน หรือเหนือกว่ากัน หรือ ช่วงชิงอะไรได้ก่อนกัน

อเมริกันอยากเป็นเถ้าแก่ หันกลับมาดูเรื่องการเป็นเถ้าแก่ ตอนนี้บรรดาคนมีความรู้ทั้งหลายในอเมริกาไปเป็นเถ้าแก่หมดแล้ว เพราะโอกาส มันมีมาก สมัยก่อนในอเมริกา ถ้าใครมาพูดว่าผมจะทำธุรกิจนะ จะมีแต่คนค้าน อย่าทำเลย มันเสี่ยง ไปเป็นลูกจ้างเขา ดีกว่า ตอนนี้เสียงอย่างนี้กำลังสะท้อนอยู่ในประเทศไทย เสร็จแล้ววันนี้ที่อเมริกากลับกลายเป็นว่า วันนี้ถ้าบอกว่าผม มีไอเดีย จะทำธุรกิจ มีแต่คนเอาเงินมาให้ทั้งที่ไอเดียบางอันมันก็ไม่ได้เรื่อง แต่เพราะคนไปรวยกับไอเดียใหม่ ๆ เยอะ จึงมีคนอยากคิดทุกวัน

คนไทยอยากเป็นมนุษย์เงินเดือน ขณะที่ประเทศเรามีแต่คนหางาน ไม่มีคนสร้างงาน ถ้าวันนี้กำลังผลิตเรากลับมาที่ 100% หรือใกล้ 100% เรา เพิ่งจะ absorb คนตกงานได้แค่ประมาณ 3,000,000 คนกลับเข้าไปได้เท่านั้นนะครับ แต่ยังไม่ได้ absorb คนที่จบใหม่นะ เพราะทุกคนต้องการเป็นมนุษย์เงินเดือนหมด ทุกคนจึงควรหันมาสร้างงาน คือสร้างเถ้าแก่รายใหม่

ประเทศไทยต้องยกเครื่องใหม่หมด การสร้างเถ้าแก่ใหม่ได้ ประเทศไทยต้องล้างกติกาเก่า ยกเครื่องใหม่ทั้งหมด ที่ผมเรียกว่า คิดใหม่ ทำใหม่ ถ้าเรา เอากรอบของกฎหมายเป็นตัวตั้ง เราจะคิดอะไรไม่ได้เลยครับ เท่ากับว่าเราใส่กุญแจมือก่อนให้ขึ้นชก เราจึงต้องรื้อ หมดครับ เราต้องหา solution ว่าเราต้องการไปที่ไหน ต้องการเห็นอะไรเกิดขึ้น อะไรคืออุปสรรคต้องแก้ให้หมด ก่อนอื่นต้องเอาเป้าหมายเป็นตัวตั้งครับว่า เราจะไปตรงไหนในยุคของ digital economy เราต้องการสร้างอะไร ระบบ e-commerce เราฝืนมันได้มั้ย คอยดูนะครับปลายปีนี้ คอมพิวเตอร์แทบทุกเครื่องจะมีคีย์บอร์ดที่รูดการ์ด สั่งซื้อสินค้าได้หมด กติกาเรื่องของระบบภาษีหรือใบเสร็จนั้น ต้องแก้หมด ไม่เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ คนอื่น เขาเปลี่ยนหมดแล้ว แต่เราไม่เปลี่ยน ก็เหมือนมัดมือคนของเราเอง

เราต้องรู้เราและรู้เขา สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ที่เราไปแพ้การแข่งขัน ก็เพราะเราไม่รู้เขา แต่เขารู้เราอย่างเต็มที่เลย ที่จริงแล้วเรานั้นไม่รู้ทั้งเรา ไม่รู้ทั้งเขา แล้วไปนั่งเจรจากัน กลับมาก็ภูมิใจ ผลสุดท้ายโดนกินหมดครับ เราจึงต้องรู้เรา และรู้เขา

เราต้องเป็น Winner และถามว่าเราจะแข่งกับเขานั้น เราจะต้องปรับตัวเราตรงไหน บอกได้เลยครับว่าเราต้องเป็น winner ครับ Winner sees solution in every problem. ไม่ใช่ sees problem in every solution นั่นเป็น ooser ครับ เราต้องเอา solution เป็นตัวตั้ง แล้วสิ่งที่มีอยู่วันนี้มันเกิดมาเป็น 100 ปีแล้ว รื้อทิ้งให้หมดเถอะครับ

ต้องเอา Solution เป็นตัวตั้ง จำได้มั้ยครับ มีบริษัทปลากระป๋อง 2 เจ้าเป็นคู่แข่งขันกัน รายหนึ่งไปดูดแฟกซ์ของเพื่อน ขึ้นศาลถูกปรับ 3,000 บาท แต่เพื่อนเสียหายทางธุรกิจไปมากมาย เพราะไปแย่ง oder กัน เห็นมั้ยครับว่ากฎหมายมันล้าสมัยไปหมดแล้ว ครับ ต้องแก้กันทั้ง package อย่าแก้ทีละฉบับ เพราะจะขัดกันแบบไม่รู้จบ วันนี้เราจะต้องเอา solution เป็นตัว ตั้ง เราถึงจะไปได้

การเปลี่ยนแปลงจะมีมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงจะมีมากขึ้น สมัยก่อนคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่มาก แพงก็แพง ทำงานก็ช้า สมัยนี้ PC เก่งเหลือ เกิน software เก่ง ๆ เยอะ ดู Linux สิครับ เขาให้ช่วยกัน design ทั่วโลก Linux มันเกิดมาจากเด็กชาว ฟินแลนด์คนหนึ่งคิดขึ้นมา คล้าย ๆ กับ Window ของ Microsoft เด็กคนนี้ก็เอาใส่เข้าไปในอินเตอร์เน็ต ทุกคน ก็เข้าไปช่วยแก้กันใหญ่ แล้วก็เอาไปใช้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

เด็ก ป.4 เล่นอินเตอร์เน็ตได้ วันนี้ท่านเชื่อมั้ยครับว่า ผมได้ให้เด็กประถม 4 ที่โรงเรียนบ้านสันกำแพง เข้ามาเรียนใน Project Light House ของผมที่ร่วมกับ MIT Media Lab มีอาจารย์ดัง ๆ มา 2 คนคือ Dr.Negroponte ที่เขียนหนังสือดังเรื่อง Being Digital อีกคนคือ Seymour Pepperd มาช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยีให้อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และไปทดลอง ที่โครงการแม่ฟ้าหลวง เสร็จแล้วก็มาพัฒนาเทคโนโลยีนั้นให้เหมาะกับการศึกษาไทย ก็เอาไปทำที่โรงเรียนบ้านสันกำแพง ให้เด็ก ป.4 ที่อาจจะไม่รู้ภาษาอังกฤษเท่าไหร่ แต่จะมีครูเป็น facilitator คอยแปลให ้ ปรากฏว่าเขาเล่นอินเตอร์เน็ตได้ และทำ webpage ได้ และก็สามารถเลือกเรียนตามความถนัดของเขาได้

เด็กอายุ 10-15 ขวบ ทำ Webpage ได้ บอกได้เลยว่าอินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องที่เรียนง่ายมาก ตอนนี้มีคนพยายามจะทำ font แปลงภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย มีคนมาเสนอโครงการให้ผม เป็นฝรั่งที่เคยทำร่วมกับทางญี่ปุ่น คือถ้า font ภาษาไทยเกิดขึ้นก็ยิ่งง่ายขึ้น ถ้าไม่เกิดยังคง เป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียว เด็กก็ยังคงใช้ได้ วันนี้ผมกำลังสอนเด็กอายุ 10-15 ขวบ สอนเขา 3 วัน วันละ 3 ชั่วโมง จบ แล้วทำ webpage เป็นนะครับ

คนที่มีอำนาจตัดสินใจต้องมี Digital Thinking ทั้งหมดนี้ไม่ยากเลย เพียงแต่เราต้องวางระบบ และมีการฝึกอบรมอย่างหนัก ไม่เป็นไรเลยครับ วันนี้เรามีคนที่มี ความรู้ ตกงานกันเยอะ เอาคนพวกนี้มาฝึกให้เป็น trainer แล้วคนเหล่านี้เขาจะเห็นโอกาสเอง การลงทุนตรงนี้ก็ไม่ มาก และระบบพวกนี้ก็ง่ายเหลือเกิน ผมว่าฝึกได้ครับ ปัญหาคือ คนที่อยู่ใน decision making level จะต้องมี digital thinking ถ้าเขายังขืนเป็น analogue thinking เขาก็จะไม่ยอม ไม่เข้าใจ จะไปมองว่าเป็นการลงทุน เยอะลงทุนเสียเปล่า ไม่กล้าทำ ผมเห็นว่ามันอยู่ที่ภาวะการเป็นผู้นำ

Spirit of Time มีภาษาเยอรมันคำหนึ่งที่ว่าไซไกด์ แปลว่า spirit of time เขาต้องการ ingredient ที่สำคัญ ๆ อยู่ 3 อย่าง คือ หนึ่ง. มี political concern มี leadership ที่จะให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ สอง. มี know-how ที่รู้ว่าจะทำ อะไร สาม. เป็นสิ่งที่เป็น future ที่เราจะต้องไป ถ้า 3 อย่างนี้มารวมกัน ทุกอย่างก็จะเกิดขึ้นได้ ผมไม่ได้คิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องยากเย็นอะไร เพราะว่าผมได้ทดลองพอสมควร

..."

ที่มา - เว็บพรรคไทยรักไทย

Blognone Jobs Premium