iPhone 5s เป็นสมาร์ทโฟนตัวชูโรงประจำปีนี้ของแอปเปิลที่เพิ่งจะเปิดตัวเมื่อต้นเดือนนี้ และได้จัดจำหน่ายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้ในบางประเทศโดยไม่มีการเปิดให้จองล่วงหน้า ในครั้งนี้ iPhone 5s ถือว่าเป็นการปล่อยไอโฟนรุ่น "ปรับปรุงและอัพสเปค" เช่นเดียวกับที่แอปเปิลเคยทำมาแล้วสองครั้งก่อนหน้้ากับ iPhone 4/4S และ iPhone 3G/3GS
หลังจากที่ได้ iPhone 5s มาใช้แล้วสองสามวัน ผมเลยขอเขียนรีวิวสั้น ๆ มาให้อ่านกันครับ
iPhone 5s มีทั้งหมดสามสีด้วยกัน โดยในครั้งนี้สีที่มาใหม่มีทั้งหมดสองสี นั่นก็คือสี Space Grey ซึ่งจะแตกต่างจากสีดำเดิมอยู่เล็กน้อย หากวางข้าง ๆ กับ iPhone 5 สีดำ จะพบว่าสีใหม่เทาใหม่นี้จะไม่มืด และไม่อมสีน้ำเงินเข้มเท่ากับสีดำเดิม ส่วนสีใหม่อีกสีก็คือสีทอง ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วถ้าดูไกล ๆ โดยไม่มีสีเงินเดิมมาเปรียบเทียบข้าง ๆ แทบจะมองไม่ออกเลยว่ามันคือสีทอง
ดีไซน์ภายนอกของ iPhone 5s แทบจะไม่ต่างจาก iPhone 5 ส่วนที่สามารถสังเกตได้ชัดว่าต่างจาก iPhone 5 นอกจากสีของตัวเครื่องก็คือขนาดของเลนส์กล้องถ่ายภาพ และแฟลช
สมัย iPhone 4 แอปเปิลได้วางขาย Bumper Case เป็น "Official case" มาคราวนี้แอปเปิลได้เลือกที่จะขายเคสหนังควบคู่ไปกับ iPhone 5s โดยวัสดุที่ใช้ดูจะไม่ต่างไปจาก Smart Cover หนังของ iPad มากนัก แต่เมื่อได้สัมผัสแล้วจะรู้สึกว่ามันไม่เหมือนกับ Smart Cover แต่อย่างใด แต่เหมือนกับถาดรองไข่มากกว่า
iPhone 5s พร้อมกับเคสหนังสีแดง (ขายแยกต่างหาก)
ถ้าพูดถึงคุณสมบัติที่ได้รับความสนใจมากที่สุดบน iPhone 5s ก็คงหนีไม่พ้นเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือที่แอปเปิลเรียกว่า Touch ID ซึ่งจากการใช้งานมาได้ 3 วันเต็ม ๆ บอกได้เลยว่ามันสามารถใช้งานได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ถ้าหากถามว่ามันสมบูรณ์ 100% ไหมคงต้องตอบว่าไม่
การตั้งค่าการใช้งาน Touch ID ไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่ใช้เวลาพอสมควร ผู้ใช้จะต้องคอยแตะนิ้วตัวเองแล้วปล่อยหลายครั้ง โดยในแต่ละครั้งจะต้องขยับนิ้วเล็กน้อยเพื่อให้ Touch ID ได้เรียนรู้หลาย ๆ ส่วนของลายนิ้วมือของผู้ใช้ หลังจากนั้น ผู้ใช้ต้องลองแตะเซ็นเซอร์หลาย ๆ ครั้งอีกรอบ โดยคราวนี้ผู้ใช้จะต้องลองเปลี่ยนองศา และท่าที่ใช้ในการแตะเซ็นเซอร์ ขั้นตอนนี้เอาจริง ๆ ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีในการติดตั้ง
เมื่อถึงเวลาใช้งานจริง จะพบว่าบางครั้ง iPhone 5s ไม่สามารถอ่านลายนิ้วมือเราได้ แล้วให้เราลองแตะนิ้วใหม่อีกครั้ง ส่วนตัวผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร เพราะบางครั้งผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเราก็แตะนิ้วได้ถูกต้องแล้ว แต่ส่วนใหญ่เมื่อลองอีกครั้งมักจะไม่มีปัญหา ผมได้ลองลบและเพิ่มลายนิ้วมือใหม่อีกครั้ง แต่ยังเจอปัญหานี้อยู่ดี แต่โดยรวมแล้วกรณีอ่านลายนิ้วมือไม่ออกในครั้งแรกที่กด จะเจอวันละ 5-6 ครั้งเท่านั้น ส่วนตัวแล้วคิดว่าน่าจะเป็นความผิดผมเอง (user error) แต่เอาจริง ๆ มันก็หมายความว่าการอ่านลายนิ้วมือมันไม่ได้ง่ายพอที่จะสามารถใช้ได้ในทุกโอกาส (เช่นระหว่างวิ่งอยู่เป็นต้น) แต่โดยรวมแล้วแม้วิ่งก็ยังปลดล็อคได้มากครั้งกว่า
ผู้ใช้ยังจะต้องกรอก Pin Unlock หรือรหัสผ่านเป็นบางครั้งแม้ว่าจะเปิดใช้งาน Touch ID อยู่ ทุกครั้งที่มีการปิดหรือเปิดเครื่อง iPhone 5s จะถามหารหัสเพื่อปลดล็อคหน้า Lock-screen ครั้งแรกก่อน หลังจากนั้นผู้ใช้จะสามารถใช้ลายนิ้วมือได้ ในส่วนของ App Store ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมบางครั้งเราสามารถใช้ Touch ID ได้ บางครั้งใช้ไม่ได้ แต่คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับระยะห่างของเวลาในการซื้อแอพแต่ละครั้ง ข้อดีของการบังคับให้กรอก Pin Unlock ทุกครั้งที่มีการปิดและเปิดเครื่องก็คือหากเราหลับอยู่ เพื่อนจะไม่สามารถเอานิ้วเรามาจิ้มเปิดมือถือได้ ถ้าเราได้ปิดเครื่องไว้ก่อนนอน แต่จริง ๆ แอปเปิลน่ามีวิธีให้ผู้ใช้เลือกเปิด-ปิดการใช้งาน Touch ID ได้มากกว่านี้ (สรุป: แอปเปิลชอบคิดแทนผู้ใช้ตามเดิมในส่วนนี้)
น่าเสียดายที่ Safari หรือแอพอื่น ๆ ยังไม่สามารถใช้งาน Touch ID Unlock ได้ แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน แอปเปิลคงเปิด API ให้แอพอื่น ๆ สามารถถามหาการปลดล็อคผ่าน Touch ID ได้โดยที่แอพไม่สามารถเข้าถึงลายนิ้วมือได้ แต่เพียงแค่เรียกใช้การปลดล็อคเฉย ๆ แต่คิดว่าผู้ใช้อาจจะต้องรอ iOS ตัวต่อไปถึงจะได้เห็นการใช้งาน Touch ID ที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้ ส่วนตัวผมคิดว่าในปีนี้ หลังจากที่เกิดเหตุการณ์เกี่ยวกับการล้วงข้อมูลประชาชนของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ แอปเปิลได้ตัดสินใจที่จะเลือกสร้างความมั่นใจในความเป็นส่วนตัวด้วยการจำกัดคุณสมบัติของ Touch ID
จากที่ผมได้ลอง Touch ID สามารถใช้งานกับข้อนิ้วได้ด้วย รายงานอื่น ๆ เองก็บอกว่า Touch ID สามารถใช้งานกับอวัยวะส่วนอื่น ๆ ทั้งของมนุษย์และสัตว์ได้ เพราะฉะนั้นแล้วถ้าใครคิดว่าลายนิ้วมือนั้นอินดี้ไม่พอ สามารถทดลองใช้อวัยวะอื่น ๆ ในการปลดล็อคได้
ในครั้งนี้ แอปเปิลได้เลือกที่จะเข้าแจมสงครามยัดสเปค เช่นเดียวกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจากฝั่ง Android แต่จากการทดลองใช้ในเกมต่าง ๆ แล้ว พบว่าเฟรมเรท (frame rate) ดีขึ้นอย่างชัดเจนที่สุด ส่วนระยะเวลาที่ใช้ในการโหลดเกมก็เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการใช้งานทั่วไปอื่น ๆ แล้ว นอกจากเวลาที่ใช้ในการโหลดตอนเปิดแอพ (ที่ต่างกันพอสมควร) และความลื่นไหลของ UI (ที่ไม่ได้ต่างกันมาก) ผู้ใช้ทั่วไปแทบจะไม่เห็นความแตกต่างระหว่าง iPhone 5s กับ iPhone 5 แอนิเมชั่นและภาพเคลื่อนไหวของตัวระบบปฏิบัติการเองก็ไม่มีความแตกต่างแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าตอนนี้ยังเร็วเกินที่จะติดสินความแรงของ iPhone 5s เมื่อเทียบกับไอโฟนรุ่นก่อน ๆ จากการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยประมวลผลช่วยเหลือ M7 ซึ่งมีหน้าที่เก็บและประมวลผลข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวจากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้งานในแอพต่าง ๆ แต่อย่างใด
ในส่วนของการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย LTE ชิปที่แอปเปิลใช้ใน iPhone 5s เมื่อเทียบกับ iPhone 5 ไม่ได้มีความแตกต่างในเรื่องของความเร็วในการเชื่อมต่อ iPhone 5s เองก็ยังไม่ได้รองรับ LTE Advanced แต่อย่างใด
iFixit เองได้ออกมาบอกว่าชิป A7 ของแอปเปิลมีแรมเพียงแค่ 1GB ซึ่งไม่ต่างจาก iPhone 5 แต่แอปเปิลได้เปลี่ยนมาใช้ DDR3 แทน DDR2
สำหรับเรื่องของแบตเตอรี่ จากการใช้งานบนเครือข่าย LTE ของ EE ในลอนดอน ที่เด้งไปมาระหว่าง 3G กับ LTE แทบจะตลอดเวลา พบว่า iPhone 5s แบตจะเกือบหมดก่อนทานข้าวเย็นทุกที แต่ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าผมเล่นกับมันเยอะเป็นพิเศษ สำหรับผู้ใช้ทั่วไปผมคิดว่าไม่น่าจะมีความแตกต่างระหว่างแบตเตอรี่ของ iPhone 5 และ iPhone 5s ในส่วนของระยะเวลาที่ใช้ในการชาร์จแบตให้เต็ม 100% จะอยู่ที่ประมาณ 1-1:30 ชั่วโมง (ทดสอบระหว่างเปิด Wi-Fi Hotspot พร้อม ๆ กันด้วย)
กล้องถ่ายรูปของ iPhone 5s ยังคงเป็นกล้อง 8 เมกะพิกเซล ซึ่งไม่ต่างไปจากกล้องของ iPhone 5 เพียงแต่ตอนนี้ตัวกล้องจะมี f-stop อยู่ที่ f/2.2 และขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 15% ซึ่งแอปเปิลบอกว่าจะทำให้การถ่ายภาพในที่มืดนั้นดีขึ้นกว่าเดิม
จากการใช้งาน พบว่าการใช้งาน Burst Mode ใหม่นั่นสะดวกมาก ทำให้เราได้ภาพที่ดีที่สุดเกือบตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราถ่ายภาพระหว่างนั่งอยู่ในรถบัส หรือถ่ายภาพสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ แต่ที่สะดวกที่สุดก็คือการที่แอปเปิลเลือกที่จะไม่แสดงรูปภาพที่เราถ่ายด้วยโหมดนี้ทั้งหมดใน Camera Roll แต่เลือกที่จะแสดงรูปที่ดีที่สุดเพียงรูปเดียว แต่ผู้ใช้เองสามารถที่จะเลือกเอารูปที่ถูกถ่ายไว้ทั้งหมดจากการถ่ายด้วย Burst Mode ออกมาใช้ได้อยู่ดี (ซึ่งส่วนตัวอยากทราบเหมือนกันว่าทำไมแอปเปิลไม่เปิดให้ทำแบบนี้ได้บ้างกับรูป HDR)
โหมด Slo-mo ที่มาใหม่ก็เอามาเล่นแล้วสนุกดี เพียงแต่ว่าแอพที่รองรับ Slo-mo มีเพียงแค่แอพ Photos เท่านั้นในตอนนี้ ถ้าต้องการจะอัพวีดีโอ Slo-mo ไปที่ Facebook วิธีเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือผ่านการใช้ปุ่ม Share จากแอพ Photos เท่านั้น ถ้าเลือกอัพผ่านทางแอพ Facebook หรือ Instagram คลิปที่ถูกส่งไปจะเป็นคลิปที่ไม่มีส่วน Slo-mo ติดอยู่เลย (วิธีแก้ชั่วคราว คือการส่งคลิป Slo-mo เข้าหาตัวเองผ่านทางอีเมล)
น่าเสียดายที่ผมไม่มีโทรศัพท์มือถือยี่ห้ออื่น ๆ ให้เปรียบเทียบคุณภาพของภาพถ่าย แต่เมื่อเทียบกับ HTC One แล้วบอกได้เลยว่าความคมของภาพจาก iPhone 5s นั้นดีกว่ามาก ๆ ในขณะที่การถ่ายภาพในที่มืดไม่ได้ต่างจาก HTC One มากมายขนาดนั้น ส่วนตัวแล้วต้องบอกได้เลยว่ากล้องของ iPhone 5s ถึงแม้สเปคอาจจะฟังดูไม่ได้น่าตื่นเต้นมาก แต่มันก็ยังคงเป็นกล้องมือถือที่สูสีกับมือถือยี่ห้ออื่น ๆ ในตลาดอย่างแน่นอน
นี่คือภาพตัวอย่างจากกล้องของ iPhone 5s ครับ
กลางวัน
ภายในอาคาร
กลางคืน
แม้ว่า iOS 7 จะมีอายุเพียงแค่ไม่กี่วัน แต่มีหลายแอพที่สนับสนุน UI แบบ iOS 7 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่น Facebook, Twitter และ FourSquare นักพัฒนาหลายรายเองก่อนหน้านี้ก็ได้ออกมาประกาศจุดยืนแล้วว่าพวกเขาพร้อมที่จะออกแบบแอพพลิเคชั่นใหม่ เพื่อให้เข้ากับ iOS 7 มากยิ่งขึ้น
นี่คือตัวอย่างสกรีนช็อทของแอพพลิเคชั่นที่ได้ปรับหน้าตาให้เข้ากับ iOS 7 แล้ว
ในส่วนของการใช้งาน iOS 7 แล้ว พบว่าตอนนี้มีปัญหากับการแสดงผลตัวหนังสือภาษาไทยในปริมาณมาก ๆ เช่นการเปิดเข้าเว็บ Blognone ไม่ว่าจะทำด้วยเว็บเบราว์เซอร์ใด ๆ ก็ตาม จะมีการค้างหรือกระตุกเป็นระยะเวลานานพอสมควร เช่นกัน การแสดงผลภาษาไทยในแอพบางแอพ เช่น Twitter จะมีการใช้ฟอนต์ใหม่ผสมกับฟอนต์เก่าปน ๆ กันไป (จะแสดงผลฟอนต์ Thonburi เดิมหากมีลิงค์อยู่ในทวีต)
ข้อดี
ข้อเสีย
แม้ว่าหลาย ๆ คนจะคาดหวังไว้มากกับ "ไอโฟนตัวต่อไป" แต่แอปเปิลเองยังคงจุดยืนในการปล่อยไอโฟนรุ่น "อัพเกรดเพียงเล็กน้อย" หรือ minor change เช่นเดียวกับที่ได้ทำมาโดยตลอด แต่กระแสตอบรับเริ่มแรกในครั้งนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าตลาดมือถือ และตัวผู้ใช้เอง ได้คาดหวังว่าแอปเปิลเร่งเครื่องและปรับตัวให้เข้ากับสภาวะการแข่งขันในตลาดให้มากกว่าเดิม เช่นการออกไอโฟนที่มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น หรือแม้กระทั่งการติดตั้งคุณสมบัติที่สมาร์ทโฟนอื่น ๆ มีกันถ้วนหน้าแล้วอย่างเช่น NFC
แต่หากกลับมาคิดดูอีกที แอปเปิลก็ไม่ได้เลือกทำสิ่งที่แตกต่างไปจากคู่แข่งอื่นมากนัก นั่นก็คือการอัพสเปคชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้ดีขึ้น ในส่วนของการนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา แอปเปิลก็ได้ทำสิ่งที่ตัวเองเก่ง นั่นก็คือการทำสิ่งที่เคยมีคนทำแล้ว (อย่างเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ) ให้มันกลายเป็นสิ่งที่ติดตลาดได้อย่างรวดเร็ว หรือทำให้มันกลายเป็น "จุดเปลี่ยนของตลาด" เช่นการนำชิป 64-bit มาใช้
แต่ถ้าถามว่าคิดอย่างไรกับการซื้อ iPhone 5s มาใช้ คงต้องให้ผู้อ่านกลับมาคิดว่าพอใจกับการอัพเกรดหรือไม่ ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าถ้ายังพอใจกับ iPhone 5 อยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอัพเกรด เพราะการใช้งาน 90% (หรือมากกว่า) ของแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ บน iPhone 5s ไม่ได้ลื่นไปกว่าใน iPhone 5 เลย และควรจะรอไอโฟนตัวต่อไป ซึ่งส่วนตัวผมเชื่อว่าแอปเปิลน่าจะ (ย้ำว่า "น่าจะ") ยอมผลิตไอโฟนที่มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้