เมื่อต้นปี Blognone เคยรีวิว ASUS Fonepad รุ่นแรก กันไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ช่วงกลางปีทาง ASUS ก็เปิดตัว ASUS Fonepad 7 รุ่นอัพเกรด (พร้อมมีตัวเลข 7 ห้อยท้าย รหัสรุ่นจริงๆ คือ K00E) และนำเข้ามาขายในเมืองไทยเมื่องาน Commart ครั้งล่าสุดที่ผ่านมานี้เอง
ASUS ส่ง Fonepad 7 รุ่นอัพเกรดมาให้ผมรีวิวทดสอบ โดยรวมแล้วมันยังคงแนวทางเดิมของรุ่นแรกคือเป็นแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วที่โทรออกได้ และใช้ซีพียู Atom ของอินเทล แต่ก็มีรายละเอียดหลายอย่างที่ต่างไปจากรุ่นเดิมครับ
Fonepad 7 ยังใช้หน้าจอ 7" 1280x800 IPS แบบเดิม, แรม 1GB เหมือนเดิม ส่วนสเปกที่เปลี่ยนไปคือ
Fonepad รุ่นแรกใช้วัสดุภายนอกเป็นโลหะ แต่พอมาเป็น Fonepad 7 รุ่นที่สองกลับเปลี่ยนแนวทางการออกแบบเป็นพลาสติกผิวมัน (แนวเดียวกับ Galaxy S III หรือ Note II ของซัมซุง)
ปุ่มต่างๆ อยู่ด้านขวามือตามแนวทางของอุปกรณ์ Android ทั่วไป ส่วนด้านซ้ายเป็นช่องปิดถาดใส่ซิมแบบต้องมีเข็มจิ้ม ทดลองถาดใส่ซิมพบว่าใส่ค่อนข้างยากพอสมควร
ตัวเครื่องมีขนาดที่ถือด้วยมือข้างเดียวได้สบาย แต่ถ้าจะเอามาเป็นโทรศัพท์ด้วยก็ขึ้นกับวิถีการพกพาโทรศัพท์ของผู้ใช้มากกว่า (ซึ่งก็คงไม่ต่างกันนักกับแท็บเล็ตกลุ่มโทรออกได้ยี่ห้ออื่นๆ) ผมลองใส่ซิมแล้วใช้แทนโทรศัพท์อยู่วันสองวันก็ทนไม่ไหวเพราะใหญ่เกินพกยาก ถอดซิมกลับไปใส่มือถือแล้วใช้ Fonepad 7 เป็นแท็บเล็ตต่อ Wi-Fi เพียงอย่างเดียว (อันนี้ขึ้นกับไลฟ์สไตล์จริงๆ ครับ)
แนวทางการดีไซน์ที่เปลี่ยนไปจากรุ่นแรกอีกอย่างคือลำโพงถูกย้ายมาอยู่ด้านหน้า โดยวางไว้ที่ขอบบนและขอบล่างของหน้าจอ เรื่องความดังของเสียงเวลาเปิดเพลงหรือวิดีโอก็ดีขึ้นแน่นอน
ซอฟต์แวร์ของ Fonepad ถูกปรับแต่งมาตามแนวทางของ ASUS ซึ่งก็คล้ายๆ กับเจ้าอื่นคือ แถมแอพมาจำนวนหนึ่ง บวกกับบริการออนไลน์ของ ASUS เองอีกจำนวนหนึ่ง และเปลี่ยนไอคอนบ้างบางส่วนให้ดูไม่ซ้ำซาก
ตัวเฟิร์มแวร์รุ่นล่าสุดที่มีให้อัพเดตคือ 54.37 ซึ่งเป็น Android 4.2.2
หน้าตารวมๆ คงไม่แตกต่างกับ Android ทั่วไปมากนัก เว้นแต่ว่าปรับหน้าตาของไอคอนมาตรฐานบางอย่าง
ปุ่มลูกศรแปลกๆ ที่มุมซ้ายล่างของหน้าจอเป็นปุ่มสำหรับเรียก mini app หรือแอพพกพาขนาดเล็กที่กดแล้วลอยขึ้นมาบนหน้าจอ (คล้ายๆ กับของ Galaxy Tab)
แอพมาตรฐานที่มาพร้อมกับ Fonepad ตอนเปิดเครื่อง (ยังไม่ได้ลงอะไรเพิ่ม) กลุ่มที่ไม่ใช่แอพของ ASUS เองก็มีแถม Kindle, Facebook, Flipboard, Press Reader, Zinio
แอพของ ASUS เองก็มีหลายตัว (ซึ่งผมแทบไม่ได้ลองเลย) เช่น ASUS WebStorage, AOLink, ASUS Story, SuperNote, Tasks (ใครสนใจชมภาพกันเองใน Google+)
แอพกลุ่มที่คิดว่าแปลกดีและไม่ค่อยเห็นผู้ผลิตเจ้าไหนใส่เข้ามาคือ แอพที่ใช้ล็อคแท็บเล็ตหรือแอพบางตัวสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง
ฟีเจอร์อีกอย่างที่ ASUS ทำเวอร์ชันของตัวเองใส่เข้ามาคือคีย์บอร์ด มีภาษาไทยด้วย แต่การใช้งานจริงกลับใช้แทบไม่ได้เลยเพราะระบบ spellcheck ภาษาไทยพยายามจะเดาคำแทนเราหมด (พิมพ์ชื่อเฉพาะแทบไม่ได้เลย) และถ้าจะปิด spellcheck ก็ต้องปิดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษพร้อมกัน เลือกปิดเป็นบางภาษาไม่ได้ (โชคดีที่ Android ลงคีย์บอร์ดอื่นๆ อย่าง SwiftKey แทนได้โดยง่าย)
ภาพออกมาใช้ได้ (ไม่ถึงกับสวยมาก) แต่ที่เป็นปัญหาคือแอพกล้องทำงานช้า กดชัตเตอร์ไปแล้วจะค้างแป๊บหนึ่งพอให้เสียวๆ ว่ารูปจะมีปัญหา (แต่จริงๆ แล้วรูปถ่ายออกมาดี แค่แอพกล้องตอบสนองช้าเอง)
Fonepad 7 ถือว่าเร็วและลื่นพอตัวแต่ยังไม่ถึงขั้นปรู๊ดปร๊าดเหมือนมือถือตัวท็อปๆ ในท้องตลาดปัจจุบัน ผมลองท่องเว็บด้วย Firefox พบว่ายังกระตุกเวลาเลื่อนหน้าจออยู่ (ซึ่งอาจเป็นปัญหาของ Firefox เองที่ทำงานบน Android x86 ยังไม่ดีนัก)
ลองทดสอบเบนช์มาร์คด้วย AnTutu X (รุ่นแก้โกง) ออกมาได้ 18,123 คะแนน เหนือกว่า Galaxy S III เล็กน้อย ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ผมไม่ได้ลองทดสอบแบบจริงจังแต่ก็ถือว่านานพอสมควรจนนานๆ ทีมาชาร์จทีได้เลย
ส่วนประเด็นเรื่องการใช้ซีพียู x86 ก็ยังไม่เจอปัญหาอะไรครับ ยังไม่เจอแอพที่รันไม่ได้ สรุปว่าใช้แล้วไม่ต่างอะไรกับอุปกรณ์ที่เป็น ARM เลย ลองเล่นเกมดังๆ แบบ Temple Run หรือ Depictable Me ก็เล่นได้สบาย
ประเด็นตรงนี้น่าจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอินเทลแก้ปัญหาทางเทคนิคสำคัญๆ ไปเกือบหมดแล้ว แอพดังๆ ก็สนับสนุนเยอะแล้ว เหลือแค่ว่าอินเทลจะล็อบบี้ให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์หันมาใช้ Atom กันมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น
โดยรวมแล้ว Fonepad 7 ถือเป็นแท็บเล็ตที่สเปกดี ราคาถูก พกพาง่าย จอภาพคมชัด เหมาะสำหรับคนที่อยากได้อุปกรณ์ตัวเดียวครบทั้งแท็บทั้งโทร (รุ่น 8GB ตั้งราคา 6,900 บาท ส่วน 16GB ราคา 8,500 บาท)
แต่สำหรับคนที่อยากได้เฉพาะแท็บเล็ตเพียงอย่างเดียว ในตลาดก็ยังมีตัวเลือกอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งก็รวมถึงแท็บเล็ตของ ASUS เองอย่างตระกูล MeMo Pad ที่โทรออกไม่ได้