คราวก่อน เราได้บอกว่าจะเข้าไปสัมภาษณ์ผู้บริหาร RS Digital ซึ่งมีบริการขายเพลงออนไลน์ Mixiclub ซึ่งผมกับลิ่วก็ได้ไปสัมภาษณ์กันมาเรียบร้อย และรู้สึกประทับใจในความรอบรู้ของผู้บริหารท่านนี้จริงๆ (แบบว่าถามเรื่องอะไรในวงการ Digital Content Distribution ตอบได้หมด รู้เยอะจนน่าตกใจ)
และนี่เป็นบทสัมภาษณ์คุณวรพจน์ นิ่มวิจิตร Senior Vice President ของ RS Digital และถือเป็นบทสัมภาษณ์อันแรกของ Blognone ที่ใช้วิธีสัมภาษณ์จากตัวจริงด้วย (ไม่ใช่ถาม-ตอบออนไลน์ตามปกติ) เชิญอ่านกันได้เลย
อยากให้แนะนำข้อมูลทั่วไปของ RS Digital ว่ามีผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร
RS Digital ให้บริการบน 2 แพลตฟอร์มหลักๆ คือบนมือถือกับบนอินเทอร์เน็ต สำหรับบนมือถือก็มีตั้งแต่ริงโทน วอลล์เปเปอร์ ไล่มาจนถึงเพลงและวิดีโอแบบเต็มเพลง โดยเราปรับแต่งให้มีขนาดเล็กเหมาะแก่การดาวน์โหลดบนมือถือปัจจุบันที่ยังไม่ถึง 3G เพลงมีขนาดประมาณ 800KB-1MB ส่วนวิดีโอก็ระหว่าง 2-5MB เราเรียกชื่อว่า Mobiclub
ส่วนบนอินเทอร์เน็ตก็คล้ายๆ กันชื่อว่า Mixiclub บริการดาวน์โหลดเพลงและวิดีโอ แต่ไฟล์มีขนาดใหญ่กว่า ฟอร์แมตเป็น MP3 และ WMV ไฟล์วิดีโอประมาณ 20MB ไฟล์เพลงประมาณ 4MB และทั้งหมดไม่มี DRM
ความนิยมของ ADSL เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เปิด Mixiclub หรือเปล่าครับ
ก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งครับ แต่ปัจจัยสำคัญคือจำนวนของคนใช้เครื่องเล่น MP3 (note: ความหมายในภาษาอังกฤษจริงๆ ต้องเรียกว่า portable music player แต่ขอเรียกเป็นภาษาพูด) โดยกลุ่มใหญ่ที่สุดจะเป็นเครื่องเล่นจากเมืองจีน ช่วงที่เราเปิด Mixi มีเครื่องเล่น MP3 อยู่ในตลาดประมาณ 4 ล้านเครื่อง ตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 5 ล้านเครื่องได้แล้วครับ ผ่านมา 2 ปีแล้ว
แต่จริงๆ แล้วยอดขายของเครื่องเล่น MP3 ไม่ค่อยดีนัก เพราะว่าโทรศัพท์มือถือตระกูล music phone เข้ามาแข่ง ความจุในการเก็บไฟล์มีมากขึ้น และมีข้อดีตรงที่เข้าถึงช่องทางการดาวน์โหลดได้โดยไม่ต้องผ่านโน้ตบุ๊คหรือพีซี
ตลาดตอนนี้เลยเปลี่ยนจากเครื่องเล่น MP3 มาเป็นเครื่องเล่นที่คนไทยเรียกว่า MP4 (Portable Multimedia Player) ซึ่งราคาลดลงมาเหลือ 5-6 พันบาท หรือถ้ามีแบรนด์หน่อยก็อาจจะ 7-8 พันบาท ตัวนี้ค่อนข้างแรงเพราะว่ามีจอสี และขนาดหน้าจอค่อนข้างใหญ่ ตั้งแต่ 2.5-5 นิ้ว ถ้าดีหน่อยอาจไปถึง 7 นิ้ว เรื่องขนาดของจอเป็นจุดที่มือถือยังตามไม่ทัน ดังนั้นถ้าต้องการดูหนังทั้งเรื่อง ดูผ่านมือถือตอนนี้คงไม่ไหว ทางออกก็คือเครื่องเล่น MP4 แบบนี้
เห็นบนหน้าเว็บมีแนะนำเครื่องเล่น MP3 ด้วย มีขายเครื่องด้วยหรือเปล่าครับ
ไม่มีครับ เป็นบริการเสริมที่เราแนะนำให้กับลูกค้าเฉยๆ เพราะมีคำถามจากลูกค้าเข้ามาบ่อยว่าอยากให้แนะนำเครื่องเล่น หรือวิธีการใช้งาน วิธีแก้ปัญหา เราก็เลยมีรีวิวบ้างในเรื่องการใช้งาน
มีผู้อ่านของเราฝากถามมาว่า ชื่อ Mixiclub นี่มาได้ยังไง
มาจากพฤติกรรมการฟังเพลงของผู้บริโภค คือคุณสามารถดาวน์โหลดเพลงหนึ่งเพลงจากอัลบั้มแต่ละชุดมาผสมกัน จัดเพลงที่เราอยากฟัง อันนี้เป็นจุดแข็งที่ได้อยู่แล้วจากการฟังเพลงระบบดิจิทัล ชื่อนี้ไม่เกี่ยวกับเว็บ Mixi ของต่างประเทศ
เห็นมี Maniclub ด้วย อันนี้คืออะไรครับ
เป็นเว็บ community สำหรับแฟนเพลง แฟนดารานักร้องของ RS มีอะไรสารพัดให้ทำ
เข้าเรื่อง DRM ละกันนะครับ ทำไมถึงไม่ใส่ DRM ทราบมาว่าช่วงแรกเคยใส่
เมื่อเราเปิดเว็บตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วเรามี DRM เพราะตอนนั้นแนวคิดไร้ DRM ยังไม่ค่อยแพร่หลายนักแม้ว่าจะเป็นที่ต่างประเทศก็ตาม เราเลือกเทคโนโลยีของ Windows Media ซึ่งใช้ได้บนพีซีทุกเครื่อง แต่ก็มีจุดอ่อนตรงไม่สนับสนุนแมค และรวมไปถึง iPod ด้วย จริงๆ แล้วบน iTunes สามารถแปลงไฟล์ของ Windows Media ไปเป็น AAC ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้อง WMA นั้นต้องไม่มี DRM ไม่งั้นไม่รู้จัก ในทางกลับกัน DRM ของแอปเปิลที่ชื่อ FairPlay ก็ไม่อนุญาตให้ third party นำมาใช้งานได้เอง
พอเราเลือกเทคโนโลยีของ Windows Media แล้ว เครื่องเล่นที่สนับสนุนก็มีของ Creative, Samsung และ iRiver เป็นสามยี่ห้อหลัก เราอนุญาตให้ถ่ายไฟล์เพลงไปใช้ได้ 3 เครื่อง ซึ่งลูกค้าก็แฮปปี้ดี
แล้วอะไรเป็นจุดที่ตัดสินใจเปลี่ยนละครับ
เราเห็นว่าเครื่องที่มีในตลาดกว่า 80% เป็นเครื่องจากเมืองจีนที่ไม่สนับสนุน DRM คือเล่น WMA ปกติได้ แต่ถ้ามี DRM จะไม่สามารถเล่นได้ ส่วน iPod มีส่วนแบ่งประมาณ 10% ก็เล่นไม่ได้อีกเหมือนกัน ถึงแม้ตลาดโดยรวมจะโตขึ้น แต่เครื่องที่ใช้ DRM แบบ Windows Media กลับโตไม่มากนัก เราเลยเปลี่ยนเป็น MP3 ธรรมดา ไม่มี DRM จะดีกว่า
แอปเปิลเองก็เจอปัญหานี้ ยอดขายเพลงจาก iTunes ก็เคยตกลง 70-80% เพราะลูกค้าเริ่มรู้ว่าเพลงที่ซื้อไปใช้กับระบบอื่นไม่ได้เพราะติด FairPlay เราจึงเห็นสตีฟ จ็อบส์ออกมาเรียกร้องให้ค่ายเพลงปลด DRM เพราะเจ้าของสิทธิ์ไม่ใช่แอปเปิล
ผมมองว่าการออกมาเคลื่อนไหวของจ็อบส์ในครั้งนั้นฉลาดมาก เพราะแอปเปิลแทบไม่เสียอะไรเลย ปัจจุบันนี้ iPod เป็นเครื่องเล่น Portable Multimedia Player ที่มีหน้าจอเล็กที่สุดในตลอด ถ้าแอปเปิลไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองก็อาจจะเสียตลาดตรงนี้ไปได้ และถ้าปลดล็อก DRM ของ iTunes Store แอปเปิลก็ไม่เสียอะไร จะมีแต่ขายได้เพิ่มด้วยซ้ำ เพราะจุดขายของ iTunes/iPod เรื่องความง่ายในการใช้งาน ความง่ายในการซื้อเพลง นั้นแข็งแกร่งหาคนมาสู้ได้ยากอยู่แล้ว
เปลี่ยนมาแล้วมีผลต่อยอดขายขนาดไหนครับ
ยอดขายดีขึ้น 30%
พอปลด DRM แล้วไม่ห่วงเรื่องคนซื้อไปจะก็อปแจกเหรอครับ
การก็อปแจกไม่ใช่ประเด็นที่น่ากลัว ถึงแม้เราไม่ขาย เค้าก็ก็อปแจกกันอยู่แล้ว ประเด็นสำคัญคือทำอย่างไรเราจะให้ข้อเสนอที่ดึงดูดกลุ่มคนที่ต้องรอเพื่อนก็อปมาให้ หรือรอซื้อของก็อป ว่าเค้ามาซื้อตรงนี้ดีกว่าไหม
การก็อปปี้ซีดี ใช้ของเถื่อนก็เป็นนิสัยที่เรารู้กันอยู่แล้วว่าไม่ดี ณ วันนี้เนี่ย คุณเป็นผู้บริโภค คุณบอกว่าคุณก็อปปี้แล้วดี แต่บางทีโชคชะตาก็เล่นตลกกับคุณ ถ้าคุณกลายมาเป็นนักร้องหรือผู้ผลิตงานเองล่ะ งานของคุณก็จะถูกก็อปตามไปด้วย
นิสัยพวกนี้เหมือนการลอกข้อสอบ ลอกการบ้าน ถ้าคุณมีปัญหาจริงๆ ในชีวิต มีความจำเป็นบางอย่างให้ทำการบ้านไม่ทัน ลอกเป็นครั้งคราวมันก็อาจพอรับได้ แต่ถ้าบอกว่ามีเพื่อนคนนึงในห้องที่มีอะไรมันก็ลอกเราทั้งปี และมันก็จบมาได้ แถมดีไม่ดีสมัครงานเขาอาจจะได้ตำแหน่งที่ดีกว่าคุณ เงินเดือนมากกว่าคุณ แบบนี้คุณคิดว่ามันแฟร์หรือเปล่า และมันดีกับประเทศหรือเปล่า คุณอยากให้มีคนแบบนี้เยอะๆ ในสังคมหรือเปล่า มันเป็นเรื่องเดียวกัน
ค่ายเพลงทั้งในไทยและต่างประเทศมีแรงต้านแนวคิดไร้ DRM มาก ด้วยเหตุผลเรื่องก็อปแจก ของ RS เองเป็นอย่างไรบ้างครับ
ถึงเราทำแบบมี DRM ยังไงเค้าก็ทำแผ่นผีขายหรือแจกอยู่แล้ว พอเราทำแบบไม่มี DRM เรียกได้ว่าเอาใจคุณด้วยข้อเสนอที่คิดว่าน่าจะยอมรับได้ แต่คุณยังทำแบบนั้นอยู่ ถามว่า RS เสียอะไร ก็ไม่มีอะไรเสียมากขึ้น แต่เราหวังจะได้ใจคุณ หวังจะได้การเข้าถึงที่มากขึ้น เป็นหลักการเดียวกับว่าเราไม่เคยป้องกันซีดีว่าจะเอาไปใช้ที่ไหน เมื่อคุณซื้อซีดีของเราแล้ว มันเป็นสิทธิ์ของคุณอย่างเต็มที่ที่จะเอาไปทำอะไรก็ได้
ถ้าคุณใช้ iPod อยู่แล้วอยากจะดาวน์โหลดเพลงถูกกฎหมาย แต่ใช้ไม่ได้ ต้องไปซื้อ Creative หรือ Samsung มาใช้ ผมว่ามันก็ไม่ใช่นะ ดังนั้นในมุมนึงเราก็สร้างข้อเสนอที่คุณไม่ต้องเปลี่ยน เรายินดีจะเปลี่ยนเอง เอาผู้ใช้เป็นที่ตั้ง เรียกว่าเดินเข้ามาหาซึ่งกันและกัน เราเดินเข้ามาหาลูกค้าแล้ว ขึ้นกับลูกค้าจะเข้ามาหาเราหรือเปล่า
ผมพูดแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพราะว่าผมนั่งทำงานอยู่ที่ RS แต่เราต้องพูดตรงๆ ว่ามันเป็นนิสัยที่ขี้โกง ผมไม่เชื่อว่ามีบริษัทหรือองค์กรไหนในโลกอยากได้คนแบบนี้ไปอยู่ในองค์กรเยอะๆ
เรื่องราคา
เราพยายามตั้งราคาที่ลูกค้ายอมรับได้ ดูอย่างของแอปเปิลทำ เพลงไม่มี DRM ราคาเพิ่มขึ้นอีก 30% แถมยังให้อิสระไม่จริงดังที่โฆษณา เพราะแอปเปิลใช้วิธีใส่ชื่อผู้ซื้อฝังลงใน header ของไฟล์ ถ้าผมส่งต่อให้คนอื่น แอปเปิลก็รู้เลยว่ามาจากใคร และตามไปจับถึงบ้านเลย คุณอาจจะเคยได้ยินว่าพวกค่ายเพลงไปไล่จับนักศึกษามหาวิทยาลัยกันอยู่ในช่วงๆ ที่ผ่านมานี้
ของเราไม่มีข้อจำกัดตรงนี้ สรุปว่าเรื่องเอาไปจำหน่ายจ่ายแจก เราไม่ค่อยกลัว
อยากทราบว่าส่วนแบ่งรายได้ระหว่าง Mobiclub กับ Mixiclub ส่วนไหนมากกว่า มากกว่ากันอย่างไร
Mobiclub เยอะกว่าอยู่แล้ว อัตราส่วนประมาณ 90:10 แค่คนใช้มือถือตอนนี้ก็สี่สิบกว่าล้านแล้ว ถ้าเทียบกับคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตประมาณสิบล้าน ส่วนใหญ่ก็ใช้ที่โรงเรียนหรือที่ทำงานมากกว่า บ้านที่มีอินเทอร์เน็ตถึงบ้านมีไม่เยอะ น่าจะสัก 2-3 ล้าน และเป็น ADSL แค่ 7-8 แสนเท่านั้น จำนวนมันต่างกันเยอะ
ตอนนี้โอเปอเรเตอร์มือถือบางค่ายเริ่มเอา EDGE เข้ามาแล้ว มีแผนการจะขายเพลงคุณภาพระดับพีซีผ่านมือถือบ้างไหมครับ
สมมติว่าเราจะดาวน์โหลดวิดีโอขนาด 20MB บนมือถือ มันก็พอทำได้ แต่ก็มีปัจจัยเรื่องสภาพเครือข่ายอยู่เยอะ ถ้าเกิดไปดาวน์โหลดแถวมาบุญครอง คนแชร์การใช้งานเยอะๆ มันก็คงจะลำบาก แถมความสำคัญของ data กับ voice อย่างหลังมันเยอะกว่าชัดเจนอยู่แล้ว
เพลงไหนขายดีที่สุดครับ
เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามความนิยม เพลงเก่าที่เคยฮิตก็ขายดี เพราะร้านขายซีดีเก็บสต็อกของลำบาก การหาซีดีเพลงเก่าๆ เลยยากหน่อย แต่พอเป็นร้านออนไลน์แล้วหาอะไรก็มีหมด เพลงเก่าสมัยตั้ง RS ใหม่ๆ อย่างวงคีรีบูน ฟรุตตี้ เก็บตะวัน ก็มีคนมาดาวน์โหลดไปเรื่อยๆ
ใน Mixiclub มีเพลงทั้งหมดที่ RS เคยผลิตมาหรือเปล่าครับ
ถูกครับ จะให้ถูกต้องบอกว่ามากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเรามีเวอร์ชันที่เป็น digital exclusive อยู่เยอะเป็นร้อยเพลงได้ คุณไปหาซื้อเป็นซีดีก็ไม่มีขายเพราะมันไม่เคยทำ
มีโครงการจะทำ loseless หรือเปล่า
ต้องรอครับ ข้อสำคัญคือเรื่องความเร็ว เพราะ loseless ขนาดมันใหญ่เหลือเกิน (40-50MB) เอาเป็นว่าอยู่ในความคิดแต่ยังไม่จำเป็น อีกประเด็นคือตัวอุปกรณ์ยังไม่สนับสนุน เรายังไม่มีฟอร์แมตมาตรฐานของ loseless ที่รับประกันว่าเล่นบนอุปกรณ์ได้ทุกเจ้า
ที่อาจจะได้เห็นมากกว่าก็คือการเพิ่มบิตเรต ซึ่งก็ต้องทดลองตลาดกันต่อไป
คิดว่าเราจะได้เห็น iTunes Store Thailand หรือเปล่า
เลิกหวังได้เลย ตอนนี้ iTunes Store เปิดมาแล้วประมาณ 20 ประเทศ มีในเอเชียคือญี่ปุ่นที่เดียว ถามว่าทำไมถึงมีแค่ญี่ปุ่น ก็เพราะว่าแอปเปิลต้องไปไล่คุยกับเจ้าของเพลงทีละเจ้า ซึ่งเทียบกับรายได้ที่แอปเปิลจะได้รับแล้วคุ้มหรือไม่ ประเทศไทยยอดขายแค่นี้คงไม่เข้ามาทำดีกว่า ประเทศในเอเชียประเทศต่อไปที่แอปเปิลจะบุกก็คงเป็นเกาหลี แล้วก็อาจจะเป็นจีนรวม หรืออันเดียวขายรวมสำหรับเอเชียเลย
แล้วถ้าเป็นร้านขายเพลงออนไลน์อื่นๆ อย่างพวก MTV, Rhapsody, Amazon
ค่ายอื่นๆ ยังไม่รุกตลาดนี้หนักเท่าแอปเปิล อย่าง Walmart ก็มีขาย แต่พวกนี้ไม่สนใจตลาดนอกสหรัฐสักเท่าไร จริงๆ แล้วมีบริษัทที่ทำเพลงขายนอกอเมริกาอยู่เยอะ แต่ก็มีข้อจำกัดแตกต่างกันไป ถ้าอยากได้ระดับขายได้ทั่วโลก ก็คงมีแอปเปิลเจ้าเดียว
หมายเหตุ: