Microsoft Innovation Days: นวัตกรรมเพื่อนักพัฒนาซอฟต์แวร์และองค์กรจากไมโครซอฟท์

by littletail
3 May 2014 - 16:29

เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา ผมกับพี่ neizod ได้ไปฟังสัมมนาของไมโครซอฟท์ในงาน Microsoft Innovation Days ครับ โดยภายในงานก็เชิญทั้งฝ่ายไอทีของหน่วยงานต่างๆ มาร่วมการฟังสัมมนา รวมถึงทีมนักวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ก็มาร่วมพูดในงานนี้ด้วยครับ ซึ่งหัวข้อบรรยายในงานมีดังนี้

  1. 5 Question ISVs Need to Answers Adopting Cloud
  2. Great Research Off the Shelf by NSTDA
  3. Best Practices for Improving Developer Productivity and Software Quality

ช่วงแรกจะเป็นการบรรยายในหัวข้อ 5 Question ISVs Need to Answers Adopting Cloud โดย คุณเอกราช คงสว่างวงศา ซึ่งเป็น Software Industry Developer Management ของไมโครซอฟท์ครับ

คุณเอกราชเล่าให้ฟังถึงการเปลี่ยนซอฟต์แวร์ที่องค์กรมีให้มาเป็น SaaS (Software as a Service หรือก็คือ web-base application) ว่าองค์กรควรจะตอบคำถามทั้ง 5 ข้อนี้ให้ได้เสียก่อน

  1. ทำไมถึงต้องใช้ซอฟต์แวร์ที่เป็น SaaS หากองค์กรมีความพร้อมในการขยายตลาดหรือมีความเสี่ยงจากการเข้ามาแข่งขันขององค์กรอื่นๆ ก็คงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์ที่ใช้ครับ โดยคุณเอกราชได้อธิบายถึงข้อดีและข้อเสียของการย้ายมาใช้บน SaaS เพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจด้วย
  2. ถ้าจะเปลี่ยนต้องทำอย่างไรบ้าง องค์กรควรจะย้อนกลับไปดูตนเองว่าจะทำยังไงให้ซอฟต์แวร์ของตนสามารถรักษาฐานลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเดิม และสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ได้ รวมถึงให้พิจารณาลักษณะของซอฟต์แวร์ตนเองว่าเป็นลักษณะใด
  3. องค์กรพร้อมสำหรับ cloud หรือไม่ คุณเอกราชได้หยิบยกเอาบทความจาก CIO Journal Article หัวข้อ How cloud is changing IT organization โดยได้อธิบายถึงความกังวลของพนักงานฝ่ายไอทีว่าถ้ามีโซลูชั่นบน cloud แล้วจะทำให้พวกเขาตกงานหรือไม่ ซึ่งจริงๆ แล้วนั้นการใช้ซอฟต์แวร์แบบ SaaS มีข้อดีคือช่วยประหยัดเวลาของฝ่ายไอทีในการดูแล server ทำให้มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่สมควรทำมากขึ้น เช่น การติดต่อกับลูกค้า เป็นต้น
  4. แอพพลิเคชันที่ใช้อยู่พร้อมสำหรับการย้ายไปบน cloud หรือไม่ นักพัฒนายังสามารถใช้ทักษะทางโปรแกรมมิ่งที่ตนเองมีมา เช่น .NET ในการเขียนพัฒนาแอพพลิเคชันได้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมคือเรื่องของ cloud นอกจากนี้โมเดลของซอฟต์แวร์จะต้องเปลี่ยนไปจากการ deploy ให้ลูกค้าทีละรายมาเป็นการรองรับการใช้งานจากลูกค้าหลายๆ องค์กรพร้อมกัน
  5. จะเลือกใช้ host สำหรับ SaaS ตัวไหนดี คุณเอกราชได้ให้คำแนะนำว่า การเลือกแพลตฟอร์มสำหรับ SaaS ให้ดูที่ความต้องการขององค์กรในการควบคุม จัดการ และดูแลซอฟต์แวร์บน cloud ครับ

ตอนท้ายๆ คุณเอกราชได้แนะนำ Microsoft Azure เป็นโซลูชั่นสำหรับองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนซอฟต์แวร์ของตนให้มาใช้บน cloud ครับ โดยชูจุดเด่น 3 จุดด้วยกันคือ speed, scale, และ economic นอกจากนี้ยังสามารถรองรับแอพพลิเคชันที่เป็น open source หรือทำงานบน Linux ได้ และสำหรับ Microsoft เองก็มี global datacenter 10 แห่งทั่วโลก และมีการสนับสนุนความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อรองรับการใช้งานทั่วโลกครับ

ช่วงที่สองจะเป็นการแนะนำผลงานวิจัยโดยทีมนักวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติในหัวข้อ Great Research Off the Shelf by NSTDA

สำหรับงานวิจัยชิ้นแรกคือ VAJA โดย ดร. ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ซึ่งเป็นงานวิจัยทางด้าน Thai-English Text-to-Speech หรือง่ายๆ คือการสร้างเสียงสังเคราะห์ให้พูดตามข้อความที่เขียนครับ โดยสามารถรองรับภาษาไทยและอังกฤษได้ ปัจจุบันหลายๆ หน่วยงานได้นำเอาผลงานวิจัยนี้ไปต่อยอดมากมาย เช่น สถานพยาบาลหลายแห่งได้นำเอาระบบนี้ไปพัฒนาเพื่อใช้ในการเรียกคิวผู้ป่วยด้วยชื่อและนามสกุล หรือการทำหนังสือเสียงที่สามารถสั่งการให้คอมพิวเตอร์พูดข้อความให้ฟังได้ เป็นต้น โดยในอนาคตทางทีมวิจัยสนใจที่จะพัฒนา VAJA ให้สามารถออกเสียงโดยอ้างอิงอารมณ์ต่างๆ ตามข้อความที่เขียนได้ สามารถสร้างเสียงใหม่ๆ โดยที่ใช้ต้นทุนให้น้อยลง และการวิเคราะห์คำศัพท์สมัยใหม่ (เช่น คำว่า “มากกกกกกก” ก็คงจะไม่ออกเสียงว่า มาก-กก-กก-กก อีกต่อไป)

งานวิจัยชิ้นที่สองคือ SafeMate ระบบดูแลการใช้รถใช้ถนนของคนขับรถบนสมาร์ทโฟน โดย ดร. เฉลิมพล สายประเสริฐ โดยแอพจะเก็บข้อมูลการขับรถของผู้ใช้ และจะแจ้งเตือนในกรณีที่ขับรถในลักษณะที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น การขับรถเร็วกว่ากำหนด เป็นต้น นอกจากนี้แอพยังสามารถเก็บประวัติการเดินทางและให้คะแนนในการขับรถได้อีกด้วยครับ เป้าหมายหลักของงานวิจัยนี้คือ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมขนส่งสินค้ามูลค่าสูง การขนส่งมวลชน และการใช้งานส่วนบุคคลครับ

งานวิจัยชิ้นที่สาม คือ S-SENSE (Social Media Intelligence) โดย ดร. อลิสา คงทน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดีย โดยการสกัดข้อความดังกล่าวเพื่อใช้ในการตรวจสอบความเห็นของลูกค้าต่อสินค้าหรือแบรนด์นั้นๆ โดยสามารถวิเคราะห์ได้ถึงจำนวนคนที่มาแสดงความเห็น คำสำคัญหรือหัวข้อที่ลูกค้าพูดถึง และเสียงตอบรับ โดยทางทีมงานได้มีการนำไปประยุกต์ใช้หลากหลายมาก เช่น การทำ brand monitoring การขุดเหมืองข้อมูลบน Twitter หรือการนำเอาโปรแกรมไปวิเคราะห์สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย

งานวิจัยชิ้นสุดท้ายคือ Traffy API โดย ดร. วสันต์ ภัทรอธิคม ซึ่งทางทีมพัฒนาได้นำเอา API ทางด้านการจราจรมาให้ผู้พัฒนาได้นำไปประยุกต์ใช้ได้ โดยจะมีทั้งข้อมูลจากกล้อง CCTV, API สำหรับพัฒนาระบบถามตอบสภาพการจราจร หรือ Question Answering API รวมทั้งข้อมูลเส้นทางการเดินทางทั่วประเทศ โดยปัจจุบันได้มีการนำไปต่อยอดหลายส่วน เช่น แอพพลิเคชัน iTraffic เป็นต้น ในอนาคตจะมีการทำข้อมูลการจราจรของประเทศเพื่อนบ้านและการทำ API Store ครับ

ในตอนท้ายได้มีการสัมภาษณ์คุณวัชระ เอมวัฒน์ ผู้ก่อตั้ง Computerlogy ถึงการพัฒนาแอพพลิเคชันบน Microsoft Azure และการพัฒนาแอพโดยใช้ข้อมูลจากงานวิจัย สวทช. ครับ

ช่วงสุดท้ายจะเป็นการแนะนำเครื่องมือต่างๆ บน Microsoft Visual Studio 2013 โดย คุณเฉลิมวงศ์ วิจิตรยะกุล Technical Sales Professional-Developer Tools จากไมโครซอฟท์ ในหัวข้อ Best Practices for Improving Developer Productivity and Software Quality โดยได้แนะนำเครื่องมือหลายๆ อย่างบน Microsoft Visual Studio 2013 เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาแอพพลิเคชัน ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอพพลิเคชันได้ทันและตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงสร้างซอฟต์แวร์ที่มีคุณภาพอีกด้วยครับ

สำหรับนักพัฒนาหรือองค์กรใดที่สนใจจะเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาแอพพลิเคชันของตน รวมถึงค้นหาเครื่องมือเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการพัฒนาโปรแกรม ไมโครซอฟท์และ สวทช. ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน โดยส่วนตัวผมมองว่า ยิ่งมีการสนับสนุนผลงานของนักวิจัยมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นการสร้างกำลังใจให้กับเจ้าของผลงานได้สร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ดีขึ้นไปอีกครับ

Blognone Jobs Premium