[รีวิว] Wolfenstein: The New Order การรีบูตครั้งล่าสุดของเกม FPS ยุคดั้งเดิม

by korstudio
3 June 2014 - 18:07

ชีวิตในวัยเด็กผม เรียกได้ว่าโตมากับเกม FPS ของค่าย id Software เลยก็เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง Doom, Hexen, Heretic, Quake, RAGE และแม้แต่ซีรีส์ที่เก่าแก่ที่สุด (ไม่นับเกมอื่นที่ไม่ใช่ FPS) Wolfenstein ก็อยู่ในไทม์ไลน์วัยเด็กของผมเช่นกัน

ซีรีส์ Wolfenstein นั้นผ่านมาหลายยุคหลายสมัย มีภาคต่อและรีบูตครั้งแล้วครั้งเล่า จนมาถึงภาคล่าสุด Wolfenstein: The New Order ซึ่งเป็นภาคที่ 9 ของซีรีส์ และนับเป็นภาคที่ 3 ของเนื้อเรื่อง (ภาคที่นับว่าเป็น prequel หรือภาคก่อนหน้าที่แท้จริงก็คือ Return to Castle Wolfenstein และ Wolfenstein ในปี 2009 ภาคนี้เป็นภาคที่พยายามรีบูตซีรีส์ทั้งหมด แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก)

ด้วยความทะเยอทะยานที่จะทำให้เป็นภาคต่อและภาครีบูตที่ดีที่สุด ทำให้ทีมงานตัดเกมในระบบ multi-player ออกไปแล้วเน้นในโหมดเนื้อเรื่องอย่างเดียว แต่เกมจะทำได้ดีแค่ไหนกันนั้น ก่อนอ่านรีวิว มาชม launch trailer ก่อนครับ

เนื้อเรื่อง

ปี 1946 กองทัพนาซีได้คิดค้นเทคโนโลยีล้ำหน้าได้สำเร็จ ทำให้สามารถพลิกเป็นฝ่ายไล่บี้กองทัพสัมพันธมิตรได้ William BJ Blazkowicz พระเอกของเราซึ่งเป็นทหารสังกัดกองทัพอเมริกาชาวโปแลนด์ ได้รุดไปยังปราสาทของนักวิทยาศาสตร์สติหลุดนามว่า Wilhelm Strasse หรือ Deathshead ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตมาแรมปี ซึ่งที่นี่เป็นศูนย์กลางการวิจัยของ Deathshead

Blazkowicz มาที่นี่เพื่อทำลายห้องทดลองทิ้ง แต่แล้วก็พลาดท่า จนทำให้กองทัพนาซีเป็นฝ่ายชนะสงครามโลกครั้งที่สองได้ในที่สุด ผ่านไป 14 ปี ในปี 1960 Blazkowicz ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความต้องการที่จะกอบกู้ชัยชนะ ความหวัง และความสุขให้กลับมายังชาวโลกและคนที่เขารักอีกครั้ง

การดำเนินเรื่อง

ตัวเนื้อเรื่องมีการบอกเล่าเหตุการณ์ผ่าน cutscene ที่มีการตัดฉากราวกับภาพยนตร์ ทั้งมุมกล้อง บทพูด และการดำเนินเรื่อง ต่อเนื่องได้อย่างแทบไร้ที่ติ เสียตรงที่การตัดระหว่าง cutscene มายัง gameplay ยังไม่เนียนเท่าที่ควร เสียงเอฟเฟกต์และเพลงโดนตัดฉึบไปในแทบจะทันทีที่ cutscene จบ จนผมคิดไปเองว่า cutscene ที่เกมให้มานั้นมีไม่ครบ หรือไฟล์เสีย

ตัวละครในเกมมีบทบาทและมิติตัวละครมากกว่าในภาคอื่นๆ ถึงแม้บางตัวจะดูเหมือนใส่เนื้อเรื่องเข้ามาอย่างลวกๆ ตื้นเขินไปบ้าง แต่กระนั้นก็ทำให้เรา “อิน” กับเนื้อเรื่องและตัวละครไปได้เหมือนกัน โดยเฉพาะฉากที่สะเทือนใจก็ทำให้แอบน้ำตาซึม ถึงแม้ตัวละครนั้นเรายังจะเพิ่งรู้จักก็ตาม

ตัวเอก Blazkowicz ก็ได้รับการยกเครื่อง ในภาคนี้เขาจะเป็นมนุษย์มากขึ้น ไม่ใช่หุ่นยนต์ปลิดชีพที่โผล่มาก็สาดกระสุนอย่างเดียวอย่างที่แล้วๆ มา เขาจะมีความรัก ความเอื้ออาทร ความแค้น และความสิ้นหวัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้หาได้ยากในเกมแนวยิงล้างผลาญแบบนี้

นอกจากการเล่าเนื้อเรื่องผ่านทาง cutscene แล้ว ยังมีการเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาของตัวละครในฉาก (NPC) ซึ่งเราสามารถไปยืนฟังได้ และยังมีใน “กระดาษหนังสือพิมพ์” รวมถึงเศษกระดาษและเอกสารอื่นๆ ตัดแปะวางอยู่บนโต๊ะ หรือติดบนผนัง ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 14 ปีที่ Blazkovicz … เอ่อ ใช้คำว่า “หายหน้าไป” ก็แล้วกันครับ

ถึงแม้เราจะไม่ได้อ่านเนื้อเรื่องย่อยเหล่านี้ แต่ก็ยังได้รับอรรถรสในการเล่นเกมอยู่นะครับ เพียงแต่ว่าอาจจะไม่เต็มอิ่มเต็มที่ ตามที่ผู้พัฒนาเกมทำมาเท่านั้นเอง

อ้อ สำหรับใครที่กลัวว่าเกมนี้เนื้อเรื่องจะสั้น ไม่ต้องห่วงครับ เกมนี้มีความยาวถึง 10-12 ชั่วโมงเลยทีเดียว เต็มอิ่มมาก

เกมเพลย์

“Back to the root” หรือ “กลับไปสู่รากเหง้า” คงจะเป็นความหมายที่ตรงที่สุดของเกมนี้ครับ

Wolfenstein: The New Order เป็นเกม FPS แบบ old-school (ยุคเก่า) อยู่แทบจะทุกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่กราฟิกดิบโหด ยิงกราดสะใจ ไปจนถึงมีระบบ health และ armor ที่ต้องเดินเก็บเอง แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะชอบเกมแนวนี้ไปเสียหมด เพราะบางคนก็ไม่ชอบการที่ต้องกดปุ่มเก็บของรัวๆ การที่เกมไม่ใบ้ว่าหัวหน้าใหญ่ตัวนี้จะต้องใช้วิธีไหนกำจัด หรือแม้กระทั่งบางจุดที่ไม่บอกว่าควรจะเดินไปที่ไหนเพื่อทำอะไรตรงไหน

ระบบพลังชีวิต (health) เกมนี้จะฟื้นให้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เช่น หากพลังชีวิตลดลงเหลือ 35 เกมจะเติมให้ถึง 40 ที่เหลือต้องหา health pack เก็บเอง เมื่อพลังชีวิตเต็ม 100 แล้ว ถ้าหากเก็บ health pack เพิ่ม จะเป็นการ overcharge นั่นคือ เก็บพลังชีวิตเกินได้ และส่วนที่เกินจะค่อยๆ ลดลงมาจนเหลือ 100 จุดนี้จะเปิดโอกาสให้เราบู๊แหลกได้นานขึ้นในเวลาฉุกละหุก

ความเป็น old-school อีกอย่างหนึ่งนั่นคือ การที่ตัวเกมจะมีให้เก็บทอง, จดหมาย (collectibles) และการหาทางลับ (secrets) สิ่งนี้ทำให้ผมนึกย้อนไปคราวที่เล่น Return to Castle Wolfenstein แล้วมัวแต่เดินหาทองตามเส้นทางลับ หรือไม่ก็ Serious Sam ที่คอยเดินหาคันโยกแปลกๆ เพื่อจะเปิดเส้นทางลับ (แต่ดันกลายเป็นเรียกปีศาจตัวยักษ์ออกมาแทน) โอย ยิ่งพิมพ์ยิ่งรู้สึกแก่ ฮ่าๆ

ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี ข้อเสียมันก็มี เพราะการที่เราต้องคอยกดเก็บของนี่ล่ะ ทำให้ต้องคอยพะวงว่า เฮ้ย เก็บไปหรือยัง แล้วก็เสียเวลาเดินไล่หาของอีก แถมถ้าลืมเก็บบ่อยๆ เข้า กระสุนก็จะมีไม่พอ กลายเป็นว่าทุกครั้งที่ผมเดินยิงไปเรื่อยๆ ก็จะต้องสละนิ้วอีกนิ้วหนึ่งเพื่อกดปุ่ม action รัวๆ สำหรับเก็บของ เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกรำคาญมาก แต่มันก็ดีอยู่ตรงที่เราเลือกที่จะเก็บได้ว่าจะเอาอะไรไม่เอาอะไร

จุดเด่นของเกมนี้อีกอย่างคือ ระบบ dual-wield หรือ ถือปืนสองมือ เกมนี้ทุกปืนสามารถควงสองมือได้หมด แม้แต่ปืน shotgun หรือ sniper ก็สามารถถือสองมือได้ และผมบอกเลยว่า การถือช็อตกันแบบอัตโนมัติแล้วเดินไล่ยิงศัตรูจนชิ้นส่วนกระจายเป็นเศษเนื้อไปทั่วอาณาบริเวณ เป็นความรู้สึกที่มันสุดยอดมากครับ อยากให้ได้ลองเล่นกันจริงๆ

นอกจากนี้ยังมีระบบ Perks ซึ่งเป็นระบบสำหรับพัฒนาตัวละคร หรือที่ชอบเรียกติดปากกันว่า skill นั่นเอง เพียงแต่ว่าไม่จำเป็นต้องเก็บค่าประสบการณ์ เพื่ออัพเลเวล แล้วนำแต้มไปกดอัพสกิล แค่ทำสิ่งนั้นบ่อยๆ ก็จะปลดล็อก perk นั้นเอง เช่น ควงปืนสองมือสังหารศัตรูได้จำนวนหนึ่ง perk โหลดกระสุนเร็วก็จะปลดล็อก, ลอบสังหารด้วยมีดบ่อยๆ ก็จะได้สกิลปามีด เป็นต้น

ระบบ cover (การชะโงกตัวออกจากที่กำบัง) ในเกมนี้ทำได้ดีและง่ายมาก แค่กดปุ่ม cover และกดปุ่มทิศทาง ก็จะเป็นการชะโงกตัวไปตามทิศทางนั้นทันที แต่ออกจะวุ่นวายกดหลายปุ่มไปนิด โดยเฉพาะคนที่ไม่ multitask อย่างผม

สำหรับเหตุการณ์ตอนสู้กับหัวหน้าใหญ่ในแผนที่ ตัวเกมจะไม่บอกใบ้ใดๆ ทั้งสิ้นเหมือนเกมยุคเก่า เป็นหน้าที่ของผู้เล่นที่จะต้อง “อยู่ ตาย วนเวียน” เพื่อที่จะกำจัดบอสตัวนั้นให้ได้ (คุ้นๆ เหมือนสโลแกนของภาพยนตร์เรื่องไหนสักเรื่องนี่แหละ) ระบบนี้มีข้อดีคือ ทำให้เราสนุกไปกับเกมว่าจะหาวิธีกำจัดได้อย่างไร แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นข้อเสียด้วย เพราะพอหาวิธีไม่ได้สักที เราก็จะเริ่มเบื่อจนพาลเกลียดไปในที่สุด แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะยากอะไรขนาดนั้น บางครั้งลองมั่วๆ ไปก็ชนะได้โดยที่ไม่ต้องตายเสียด้วยซ้ำ

กราฟิก

ด้วยขุมพลังจาก id Tech 5 เชื่อมือได้เลยว่าภาพสวยและลื่นมากแน่ๆ ยิ่งการ์ดแสดงผลมีหน่วยความจำเยอะ ก็ยิ่งได้ texture ละเอียดมากขึ้น แต่เท่าที่ผมสังเกตดู texture บนพื้นและกำแพง ไม่ว่าจะปรับ Ultra หรือ High แทบจะไม่มีความต่างเกิดขึ้นเลย ส่วน texture บนตัวละครและอาวุธดูมีรายละเอียดสวยงามดี

ใช่ว่า id Tech 5 จะมีแต่ข้อดี ข้อเสียของ engine นี้ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ RAGE ก็ยังมีอยู่เช่นเดิม นั่นคือ ปัญหา "texture popping" สังเกตได้เวลาหันกล้องเร็วๆ จะเห็นว่า texture ค่อยๆ โผล่ (pop) มาเป็นช่องๆ แม้จะไม่ค่อยกระทบกับเกมเพลย์มากนัก แต่ก็สร้างความรำคาญใจไม่น้อยเลยทีเดียว

งานศิลป์ในเกมนี้ก็ใช่ย่อย การออกแบบเสื้อผ้า ทรงผม เสียงเอฟเฟกต์ เพลงประกอบ อาวุธ เครื่องจักรกล ต่างก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ในยุค 60 และเพิ่มความเป็นจักรกลในโลกอนาคตเข้าไปตามเนื้อเรื่องของเกม ผสมผสานออกมาได้อย่างลงตัวไม่ดูประดักประเดิด และเก็บรายละเอียดทุกอย่างได้ดีและกริบมาก

สรุป

ข้อดี

  • เนื้อเรื่องน่าติดตาม เดินเรื่องไม่น่าเบื่อ เกมยาวประมาณ 10-12 ชั่วโมง
  • ยิงกันโหดเลือดสาด สนุก ระบบ cover ง่าย
  • dual-wield ได้กับอาวุธทุกชนิด
  • กราฟิกสวยไม่กินสเปคมาก งานศิลป์เยี่ยม
  • เสียงประกอบแน่น ไม่กาก ดนตรีเข้ากับอารมณ์เกมและงานศิลป์

ข้อเสีย

  • cutscene ตัดฉับเกินไป ตัวละครบางตัวใส่บทมาลวกไปหน่อย
  • การไล่กดปุ่ม action เพื่อเก็บของน่ารำคาญไปนิด
  • ปัญหา texture popping
  • บางจุดของเกมยากแบบไร้สาระ
  • กินเนื้อที่มากถึง 50GB

โดยรวมแล้ว ถ้าชอบเกมแนว FPS ยิงมัน ดิบ เลือดสาด และเนื้อเรื่องสนุก ไม่ควรพลาดเกมนี้ด้วยประการทั้งปวงครับ

คะแนน: 9/10

Blognone Jobs Premium