เผยรายละเอียดเพิ่มเติม Extensibility ของ iOS และ OS X

by toandthen
7 June 2014 - 02:45

ก่อนหน้านี้สิ่งที่ทำให้ผู้ใช้ iOS รู้สึกอึดอัดใจเมื่อทำงาน คือการที่แอปเปิลได้จำกัดให้แต่ละแอพพลิเคชั่นทำงานแยกกันอิสระอย่างชัดเจน (sandboxing) โดยทุกวันนี้ นักพัฒนาแอพหลายคนได้ตัดสินใจที่จะหาทางออกด้วยการใช้วิธีลัดอย่าง URL scheme หรือผลิต SDK ของตัวเองขึ้นมา เพื่อให้นักพัฒนาแอพคนอื่นสามารถเรียกใช้บริการของแอพตัวเองได้ ในขณะที่ผู้ใช้ Android สามารถให้แอพส่งต่องานไปสู่แอพอื่นได้ผ่านทาง Intent

ที่งาน WWDC 2014 ที่ผ่านมานี้ แอปเปิลได้เปิดตัว Extensibility หรือความสามารถที่ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอพที่คุยกับแอพอื่นได้ ซึ่งทางเว็บ MacStories ก็ได้เขียนบทความอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมของส่วนต่าง ๆ ของ Extensibility ซึ่งแอปเปิลได้อธิบายให้กับนักพัฒนาที่ร่วมงาน WWDC ในส่วนที่เป็นสัมมนาย่อ

Extensibility แบ่งออกเป็น 7 ส่วนตามนี้ครับ:

Custom Keyboard (iOS)

แอปเปิลได้เปิดให้นักพัฒนาสามารถสร้างคีย์บอร์ดที่สามารถนำไปใช้ในทุกแอพและทุกส่วนของระบบปฏิบัติการ iOS 8 ได้แล้ว แต่ทั้งนี้แอปเปิลยังได้กำหนดข้อจำกัดให้กับนักพัฒนาอยู่ เช่น ในส่วนที่เป็นการกรอก Password คีย์บอร์ดเดิมของ iOS จะเด้งขึ้นมาแทนที่คีย์บอร์ด Third-party เพื่อป้องกันการแอบดักจับรหัสผ่านและส่งต่อไปยังที่อื่น และคีย์บอร์ดเหล่านี้ต้องมีปุ่มให้ผู้ใช้สามารถสลับมาเป็นคีย์บอร์ดอื่นได้

เช่นกัน หากผู้ใช้ไม่ได้อนุญาต คีย์บอร์ดเหล่านี้จะอยู่ใน sandbox mode คือทุกอย่างจะต้องถูกประมวลผลอยู่บนตัวเครื่องเท่านั้น แต่ถ้าหากผู้ใช้อนุญาตแล้ว คีย์บอร์ดจะสามารถส่งข้อมูลทุกอย่างขึ้นไปยัง Cloud Server ได้

แอปเปิลได้ปล่อยให้เกิดคีย์บอร์ด Third-party บน iOS ได้เพราะแอปเปิลต้องการให้ผู้ใช้สามารถควบคุมประสบการณ์การใช้งานคีย์บอร์ดให้กับตัวเองได้ และหวังว่าจะเกิดวิธีการป้อนข้อมูล และการคาดเดาที่หลากหลาย รวมไปถึง keyboard layout แบบใหม่

Storage Provider (iOS)

แอปเปิลต้องการแก้ไขความน่ารำคาญเวลาผู้ใช้ต้องการดึงไฟล์ของตัวเองมาใช้ในแอพต่าง ๆ ด้วยการสร้าง iOS Document Picker กลางขึ้นมา เพื่อให้แอพต่าง ๆ สามารถดึงไฟล์ออกมาจากบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของแอปเปิลเอง (เช่น iCloud) หรือไม่ก็ได้ เช่น หากผู้ใช้ต้องการดึงรูปที่อยู่ใน Dropbox จากแอพทวิตเตอร์ สามารถทำได้จากแอพทวิตเตอร์โดยตรง

Finder Sync (OS X)

Finder Sync เป็นส่วนต่อขยายที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาที่ต้องการให้ local storage บนตัวเครื่องแมคสามารถ sync กับบริการของตัวเองใน cloud ได้โดยตรง โดยที่นักพัฒนาสามารถกำหนดให้ไฟล์แต่ละไฟล์มี tag เป็นรูปภาพติดบนตัวไฟล์เพื่อแสดงสถานะการ sync ได้ เช่นเดียวกับที่ Dropbox ได้ทำทุกวันนี้

Photo Editing (iOS)

ส่วนต่อขยายที่อาจจะถูกใจผู้ใช้ที่ชอบแต่งรูปมากที่สุดคงหนีไม่พ้น Photo Editing ที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะแต่งรูปหรือติดฟิลเตอร์ให้กับรูปของตัวเองได้โดยตรง โดยไม่ต้องเข้าไปในแอพแต่งรูปนั้น ๆ แล้วดึงรูปที่ต้องการแต่งออกมาอีกขั้น

ในส่วนนี้ ทาง Craig Federighi ได้โชว์ตัวอย่างของคุณสมบัตินี้ไปแล้วบน Keynote แต่ถ้าจะให้ยกตัวอย่างอีกที คือต่อไปนี้ผู้ใช้ที่ต้องการติดฟิลเตอร์ของ VSCO Cam หรือ Instagram สามารถที่จะทำได้ไม่ว่าตัวเองจะอยู่บนแอพไหนก็ตาม โดยที่ไม่ต้องทำการส่งต่อรูปภาพนั้น ๆ ผ่านทาง Share หรือ Intent เลย

Share (iOS และ OS X)

Share สำหรับแอปเปิล คือส่วนต่อขยายที่มีเอาไว้เพื่อส่งต่อเนื้อหาจากแอพหนึ่ง ไปยังแอพหรือบริการอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกับ Intent ของ Android เช่น การส่งลิงค์ไปให้ Pocket หรือการส่งรูปภาพไปให้ทวิตเตอร์หรือเฟสบุ๊ค

เชื่อว่าแอปเปิลคงรู้ตัวแล้วว่าการทยอยเพิ่มการรองรับ social media ต่าง ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ เหมือนที่แอปเปิลทำกับทวิตเตอร์, เฟสบุ๊ค, YouTube หรือ Vimeo เป็นสิ่งที่แอปเปิลคงจะทำไม่ได้ หากมี social network อื่น ๆ เกิดใหม่เรื่อย ๆ

Actions (iOS และ OS X)

นี่เป็นส่วนต่อขยายที่มีลักษณะคล้ายกับ plug-ins หรือ “Services บน OS X” ซึ่งทำให้แอพหนึ่งสามารถเข้าไปช่วยการทำงานในอีกแอพหนึ่งได้ เช่น ความสามารถในการแปลภาษาใน Safari ด้วย Bing Translate ได้โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเข้าไปเปิดแอพ Bing Translate เลย

หรืออีกตัวอย่างที่ Federighi ได้นำมาโชว์ใน Keynote ก็คือการสั่งให้ Pinterest สามารถเปิดหน้า “Pin It” ของตัวเองได้แม้ว่าผู้ใช้ยังอยู่ใน Safari

เชื่อว่า Actions น่าจะนำไปสู่การเกิดขึ้นของ workflow รูปแบบใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ iOS ลดขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ ลงมากกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ใช้ที่ทำงานประเภท productivity ผ่านทาง iOS

Today (iOS และ OS X)

Today เป็นส่วนต่อขยายที่ให้นักพัฒนาแอพพลิเคชั่นสามารถสร้าง widget ให้สามารถทำงานในส่วน Today ของ Notifications Centre ได้ทั้งบน iOS และ OS X โดยในส่วนนี้แอปเปิลต้องการให้นักพัฒนาผลิต widget ที่แสดงผลเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น และต้องการให้ตัว widget มีปุ่มให้น้อยที่สุด หรือไม่ก็ไม่แสดงผลเลยเมื่อไม่มีความจำเป็น

ที่มา - MacStories

Blognone Jobs Premium