นอกจาก Ford AppLink แล้ว ผมยังได้ดูเทคโนโลยีอีกตัวหนึ่งที่ Ford ร่วมพัฒนาด้วยคือ V2V ครับ
โครงการ Vehicle-to-Vehicle (V2V) Communications for Safety เป็นโครงการวิจัยของกระทรวงคมนาคมสหรัฐ (USDOT) ร่วมกับ 8 ค่ายรถยักษ์ใหญ่ของโลก Mercedes-Benz, GM, Toyota, Honda, Ford, Nissan, Hyundai-KIA, Volkswagen เพื่อวิจัยเทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างรถยนต์กับรถยนต์
เป้าหมายของโครงการ V2V คือต้องการฝังระบบสื่อสารไร้สายในรถยนต์แต่ละคัน เพื่อให้รถยนต์สามารถสื่อสารได้ว่าอยู่ที่ตำแหน่งใด มีความเร็วเท่าไร มุ่งไปในทิศทางใด จากนั้นรถยนต์คันอื่นที่อยู่ในบริเวณเดียวกันสามารถอ่านข้อมูลเหล่านี้จากเซ็นเซอร์เพื่อ "รับรู้" ตำแหน่งของเพื่อนร่วมถนน และแจ้งเตือนผู้ขับล่วงหน้าถ้ามีแนวโน้มว่ารถจะชนกัน (การตัดสินใจเหยียบเบรกเป็นของคนขับ ยังไม่มีระบบเบรกอัตโนมัติ)
ในทางเทคนิคแล้ว รถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยี V2V จะฝังอุปกรณ์กระจายสัญญาณวิทยุความถี่ 5.9GHz ที่ดัดแปลงจากโพรโตคอล Wi-Fi แต่ตัดรายละเอียดของแพ็กเก็ตบางอย่างลงเพื่อลด latency
โพรโตคอลตัวนี้มีชื่อว่า Dedicated Short Range Communications (DSRC) ระยะทำการสูงสุดคือ 500 เมตรรอบตัวรถ
ส่วนข้อมูลที่กระจายออกไปรอบคันก็มีหลายอย่าง เช่น พิกัด GPS ปัจจุบัน, ความเร็ว, อัตราเร่ง, ทิศทางที่มุ่งหน้าไป, มุมของพวงมาลัย เป็นต้น
รายละเอียดของโครงการสามารถดูได้จากวิดีโอด้านล่างนี้ ซึ่งอธิบาย use case และ scenario การใช้งานต่างๆ ไว้อย่างครบถ้วนครับ (เช่น การแจ้งเตือนก่อนชนท้าย การแจ้งเตือนในมุมอับ การแจ้งเตือนเวลารถเลี้ยวที่แยก การแจ้งเตือนเมื่อมีอุบัติเหตุข้างทาง)
(วิดีโอยาวหน่อยแต่น่าจะตอบรายละเอียดได้ชัดเจนในเกือบทุกคำถาม)
งานของ Ford ได้จัดการสาธิตเทคโนโลยี V2V ในรถยนต์ที่วิ่งบนถนนจำลองด้วย โดยมีนักวิจัยของ Ford Research มาอธิบายเรื่องนี้เอง
รถยนต์ที่ใช้สาธิตเป็นรถยนต์รุ่นที่ขายปกติ แล้วเพิ่มอุปกรณ์อื่นๆ เข้ามาบนหลังคารถ โดยจานสีขาวคือ GPS และเสาอากาศสีดำเล็กๆ คือตัวกระจายสัญญาณ DSRC (นักวิจัยของ Ford อธิบายผมว่ารถรุ่นที่วางขายจริงจะฝังอุปกรณ์เหล่านี้ไว้ในตัวถังเลย)
ตัวมอนิเตอร์ควบคุมแสดงภาพจากคอมพิวเตอร์แยกพิเศษที่วางอยู่ท้ายรถ ต่อสายเข้ามาออกจอที่คอนโซล (รถคันนี้มีเมาส์ด้วยนะครับ!) แสดงข้อมูลของเซ็นเซอร์ต่างๆ รอบคัน
ทีมงานได้ทดสอบให้ดูโดยใช้รถ 2 คัน วิ่ง "เกือบจะชนกัน" โดยเมื่อรถอีกคันเข้ามาอยู่ในระยะเป้าหมาย บนจอจะแสดงสีแดงกะพริบตามภาพ พร้อมเสียงแจ้งเตือนให้คนขับเบรกได้ทัน
เนื่องจากผมถ่ายวิดีโอมาไม่ทัน ขอแก้ขัดด้วยวิดีโอสาธิตการทำงานของ V2V ของ AOL Autos แทนครับ
ทีมนักวิจัยของ Ford ระบุว่า V2V กำลังอยู่ระหว่างการทดสอบกับรถยนต์ของจริง (ข้อมูลในเว็บกระทรวงคมนาคมสหรัฐ บอกว่าประมาณ 2,500-3,000 คัน) และต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าเราจะได้เห็นเซ็นเซอร์ V2V ถูกฝังมาในรถยนต์รุ่นขายจริง แถมกว่าจะแพร่หลายถึงขนาดรถทุกคันมีใช้ก็ต้องรอกันอีกหลายปี
แต่ข้อดีของ V2V คือมันเป็นมาตรฐานกลางที่พัฒนาโดยหน่วยงานภาครัฐ ไม่ใช่มาตรฐานของบริษัทรถยนต์รายใดรายหนึ่ง แถมยังมีค่ายรถรายใหญ่เข้าร่วมสนับสนุน จึงมีโอกาสสูงที่เราจะเห็นรถยนต์ในท้องตลาดรองรับมาตรฐาน V2V ตัวเดียวกันหมดไม่แตกแถวเหมือนเทคโนโลยีสายอื่นๆ ในอดีต
นอกจาก V2V แล้ว กระทรวงคมนาคมสหรัฐยังมีเทคโนโลยีอีกตัวที่พัฒนาควบคู่กันไปคือ V2I (vehicles and infrastructure) ที่ช่วยให้รถยนต์สามารถสื่อสารกับสิ่งปลูกสร้างต่างๆ บนถนนได้ (เช่น สะพาน อุโมงค์)
แนวคิดของ V2V ยังเน้นเฉพาะการแจ้งข้อมูลให้ "คนขับ" รับทราบเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แต่ใครที่เห็นเทคโนโลยีแบบนี้ก็คงคิดเหมือนกันหมดว่า มันใช้กับรถยนต์ไร้คนขับได้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ทีมงานของ Ford ก็บอกว่าเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนากันต่อไปในระยะยาวครับ
รายละเอียดเพิ่มเติม