เมื่อต้นปีที่งาน Build 2014 ซึ่งเป็นงานประชุมนักพัฒนาของไมโครซอฟท์ โนเกีย (ในเวลานั้น) ได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือใหม่สองรุ่น รุ่นแรกคือ Lumia 630/635 ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนจับตลาดล่าง (อ่านรีวิวประกอบ) และอีกรุ่นคือ Lumia 930 ซึ่งตัวหลังจัดว่าเป็น “เรือธง” ประจำปีของทางฝั่งไมโครซอฟท์
มาบัดนี้ นับตั้งแต่เดือนเมษายน Lumia 930 ก็พร้อมวางจำหน่ายในตลาดอื่นทั่วโลกแล้ว รวมถึงประเทศไทยในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ ซึ่ง Blognone ก็ได้เครื่องมารีวิวด้วยเช่นกัน ถ้าพร้อมแล้ว ก็เข้าเรื่องเลยครับ
คำเตือน ภาพเยอะมากและความละเอียดสูง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านจากอุปกรณ์พกพาของท่าน
Nokia Lumia 930 (จากนี้จะใช้สั้นๆ ว่า Lumia 930) โดยเนื้อแท้แล้วมันก็คือ Lumia Icon ซึ่งวางจำหน่ายแต่เดิมมาก่อนในสหรัฐอเมริกากับเครือข่ายของ Verizon ซึ่งมีสถานะเป็น exclusive หรือเฉพาะให้กับทาง Verizon แบบเดียวกับ Droid ของ Motorola เมื่อทางไมโครซอฟท์ (ซึ่งซื้อส่วนกิจการด้านอุปกรณ์ของโนเกียไป) จะนำมาจำหน่ายในภูมิภาคอื่น สิ่งที่จะต้องแก้ (ซึ่งไม่ยาก) คือตัดการสนับสนุนคลื่น CDMA ออกไปเท่านั้น และเปลี่ยนชื่อมาเป็น Lumia 930 พร้อมกับเพิ่มการรองรับคลื่นความถี่ LTE ที่ความถี่อื่นๆ เพิ่มเติม นอกเหนือจากความถี่ที่ Verizon ให้บริการอยู่
ในเชิงสเปค Lumia 930 (อ่านเอาจากข่าวของ Lumia Icon ด้านบนนะครับ) ค่อนข้างจะมีสเปคที่ด้อยกว่าเรือธงตัวอื่นในท้องตลาดอยู่พอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องของหน่วยประมวลผลที่ยังคงเป็น Qualcomm Snapdragon 800 (ในท้องตลาดตอนนี้ไปอยู่กันที่ไม่ 801 ก็ 805) และแรมยังคงให้มาเพียง 2 GB ขณะที่คู่แข่งในสายอย่าง Android วิ่งไปที่ 3 GB กันแล้ว นอกจากนั้นก็ไม่ต่างจากอย่างชัดเจนจากคู่แข่ง (อาจจะยกเว้นเรื่องของกล้อง)
สำหรับรุ่นนี้ สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนอย่างหนึ่ง คือการไม่มี Glance Screen (หน้าจอแบบดูข้อมูลได้โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอทำงาน) อันเป็นผลมาจากการตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้หน้าจอแบบ OLED ซึ่งถ้าเชื่อตามข่าวลือ อาจจะพอสรุปได้ว่าเป็นเพราะการตัดสินใจที่จะลดต้นทุนด้วยส่วนหนึ่งเพื่อไม่ให้มีราคาสูงจนเกินไปเมื่อเทียบกับเรือธงของค่ายอื่น
กล่องของ Lumia 930 ออกแบบมามีแนวทางเดียวกับ Lumia 630 แทบจะทุกประการ ดังนั้นเราก็สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าผลิตภัณฑ์ในปีนี้ของทางไมโครซอฟท์คงมีหน้าตากล่องออกแบบประมาณนี้แน่ๆ อย่างน้อยที่สุดก็ในสายของสมาร์ทโฟน
แกะกล่องแล้วก็ตามภาพเลยครับ มีที่ชาร์จ (ซึ่งแยกสาย Micro USB มาให้ด้วย), หูฟัง (ที่เป็นแบบ In-ear) และตัวเครื่อง (มีเอกสารอยู่จำนวนหนึ่งใต้เครื่อง)
สำหรับตัวเครื่องของ Lumia 930 มีลักษณะของการออกแบบ (design language) ที่ค่อนไปในทาง Nokia X/XL เสียมาก คือเป็นลักษณะที่เหมือนก้อนอิฐสี่เหลี่ยมตันๆ เพียงแต่ว่าใช้วัสดุที่หรูหรากว่า ตัวเครื่องขึ้นโครงด้วยโลหะอะลูมิเนียม (aluminium alloy) เป็นแกนกลาง ด้านหน้าเป็นจอที่ครอบด้วยกระจก Gorilla Glass โค้งมน ส่วนด้านหลังเป็นพลาสติก จับแล้วให้ความรู้สึกที่หรูหราและมีน้ำหนักดี (เป็นเรือธงของปีที่ผมจับแล้วน่าจะรู้สึกดีที่สุดในบรรดาเรือธงตลาดทั่วไปด้วยกัน ไม่นับตลาดหรู)
ด้านบนของเครื่องเป็นช่องสำหรับเสียบหูฟังและถาดใส่ Nano SIM (ซึ่งการดึงถาดก็ง่ายๆ เอาเล็บหรือพลาสติกอ่อนๆ เสียบลงไปแล้วดันขึ้น ถาดก็จะหลุดออกมา) ส่วนด้านข้างขวาของเครื่องก็มีชุดปุ่มมาตรฐาน (ปรับเพิ่ม-ลดเสียง, เปิด-ปิด เครื่อง/หน้าจอ และปุ่มสำหรับกล้อง) ส่วนด้านล่างสำหรับพอร์ต Micro USB
เทียบขนาดกับโทรศัพท์เครื่องอื่น (จากซ้ายไปขวา: Moto G, Lumia 630, Droid Ultra, Lumia 930)
ข้อมูลเครื่องจากแอพ My Phone ครับ ทั้งนี้น่าสนใจว่า Lumia 930 มีไมโครโฟนจริงๆ ถึง 4 ตัว แต่ในระบบแสดงออกมาเป็นเพียงแค่หนึ่งตัวเท่านั้นครับ
รีวิวรอบนี้เองผมได้ตัดสินใจซื้อเคสสำหรับ Lumia 930 มาใช้ประกอบคู่ด้วย (มีสาเหตุในประเด็นนี้ ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไปครับ) วางจำหน่ายอยู่ที่ราคา 1,190 บาท โดยสำหรับตัวเคสนั้นใช้วัสดุเดียวกับ Type/Touch Cover ของ Surface แทบจะทุกประการ
ลักษณะของเคสนี้ก็ไม่มีอะไรมาก คือเป็น Flip case ทั่วไปที่ใส่ Lumia 930 ลงไปได้ตรงๆ และไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษหรือความสามารถอื่นใด (ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดายในจุดนี้ เพราะราคาเคสไม่ใช่ถูกๆ ควรจะมีลูกเล่นกว่านี้)
เมื่อจับเครื่องมาใส่เคส หน้าตาก็ประมาณนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนถือหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง
เนื่องจากซอฟต์แวร์ภายในเป็น Windows Phone 8.1 ดังนั้นแล้วรายละเอียดในส่วนนี้ คงต้องให้ผู้อ่านไปอ่านมินิรีวิวของคุณ mk ในส่วนนี้ ผมขออนุญาตข้ามในรายละเอียดนี้นะครับ
สำหรับการทำงานทั่วไป ต้องยอมรับว่า Lumia 930 ทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพอย่างดี ไม่ได้ด้อยไปกว่าเรือธงใดๆ และเรื่องของการประหยัดพลังงานสำหรับ Lumia 930 ต้องถือว่าทำได้ประทับใจมาก เพราะเป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้พลังงานได้ค่อนข้างต่ำ ผมเองไม่ได้วัดว่าแค่ไหน แต่ถ้าให้เห็นภาพง่ายๆ ด้วยเวลาที่เท่ากัน ผมอาจจะต้องวิ่งหาปลั๊กไฟสำหรับ Droid Ultra แต่ไม่ใช่กับ Lumia 930 ที่อยู่ได้เกือบๆ ทั้งวันในสภาพใช้งานปกติ (แต่ถ้าถ่ายรูป เล่นอินเทอร์เน็ตเยอะ อาจจะทำให้หมดเร็วกว่าที่คาด)
หน่วยความจำที่ให้มา 32 GB ถือว่าเหลือกินเหลือใช้ แต่อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตข้อมูลมากขึ้น 32 GB ก็อาจจะไม่เพียงพอ ซึ่งก็น่าเสียดายที่ว่า Lumia 930 นั้น เพิ่มการ์ดหน่วยความจำไม่ได้ เมื่อเทียบกับ Lumia 1520
ในการใช้ที่แจ้ง โดยเฉพาะในที่แสงแดดจัด จอของ Lumia 930 ถือว่าสู้แดดได้อย่างดีมาก ต้องขอชื่นชมทางไมโครซอฟท์ที่ปรับแต่งหน้าจอของเครื่องให้ได้หน้าจอที่สู้แดดจัดได้อย่างดีเยี่ยม และให้ค่าสีที่สดมากๆ และความคมชัดที่สูง
เนื่องจากคุณสมบัติอันหนึ่งคือไมโครโฟนสี่ตัว ทำให้ได้เสียงที่คมชัดด้วย ผมมีโอกาสได้อัดวิดีโอเล่นๆ (แต่ไม่ได้เอามาประกอบรีวิวในที่นี้) ก็ต้องถือว่าเสียงที่ได้มีความชัดเจนสูงจริงตามที่ควรจะเป็น ประทับใจพอสมควรเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ผมพบปัญหาอยู่สองถึงสามอัน ซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้งานจริง และสองปัญหานี้เป็นปัญหาที่ค่อนข้างน่ากังวลอย่างมากสำหรับ Lumia 930
หนึ่ง เมื่อใช้งานเครื่องไปได้ระยะหนึ่ง ตัวเครื่องจะค่อนข้างอุ่น ไปจนถึงร้อนจัด ส่วนมากผมจะเจอเพียงแค่เครื่องอุ่นๆ (ซึ่งเป็นเรื่องปกติ) แต่มีอยู่วันหนึ่งที่ผมตื่นนอนขึ้นมา แล้วก็พบว่าตัวเครื่องเกิดอาการร้อนจัดมาก ถึงขั้นเปิดอะไรก็ไม่ได้ (Start screen ไม่ขึ้น ขึ้นแต่ lock screen) โดยเมื่อผมสังเกต ก็พบว่าตัวเครื่องพยายามส่งข้อมูลไปทาง Wi-Fi แต่เหมือนกับส่งไม่ได้ และพยายามจะส่งซ้ำๆ ทำให้เครื่องทำงานหนักจนร้อน จนในที่สุดผมต้องสั่งปิดแล้วเปิดเครื่องใหม่ (ทำ soft reset)
สอง ปัญหาของ Windows Phone 8.1 (ซึ่งในบางจุดก็คาบเกี่ยวกับปัญหาในข้อแรกด้วย) ที่ยังทำงานได้ไม่เสถียรเท่าที่ควร กล่าวคือ แม้ว่าจะทำงานได้รวดเร็วและแรมมีมากเพียงพอที่จะทำให้เครื่องทำงานได้ลื่นไหล แต่ปัญหาก็คือหลายครั้งหลายคราวที่ผมเจออาการแปลกๆ กับตัวระบบปฏิบัติการ (เช่น เรียก Start screen ใช้เวลาโหลดนานมากจนผิดปกติ) หรือแม้กระทั่งใช้ๆ อยู่ ก็ทำการรีเซ็ตตัวเองใหม่ ปัญหาในจุดนี้ทำให้ผมค่อนข้างสับสนพอสมควร เพราะ Windows Phone 8.1 ที่มาพร้อมกับ Lumia 630 กลับทำงานได้ดี มีความเสถียร และไม่เจอปัญหาใดๆ
ปัญหาสองข้อแรกผมเชื่อว่าอยู่ที่ ซอฟต์แวร์/ระบบปฏิบัติการ ของเครื่อง มากกว่าที่จะเป็นฮาร์ดแวร์ ดังนั้นผมคิดว่าทางไมโครซอฟท์อาจจะต้องรีบเข้าไปแก้ไขปัญหาในจุดนี้ แต่ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่น่ากังวลพอสมควร (และเป็นเหตุผลที่ผมต้องซื้อเคส)
สาม ปัญหาของสารเคลือบหน้าจอ Lumia 930 หลุดง่าย ทำให้หน้าจอเป็นรอยกระดำกระด่าง ซึ่งตามปกติแล้วหน้าจอที่ผลิตมาจากผู้ผลิต มักจะมีการพ่นสารเคลือบบางอย่าง (เช่น เคลือบกันรอยนิ้วมือ เป็นต้น) ในกรณีของ Lumia 930 ก็เช่นกัน
ทว่า ปัญหาของ Lumia 930 ในงวดนี้ คือสารที่เคลือบนั้นกลับไม่ได้ติดทนอย่างที่ควรจะเป็น เพราะจากการใส่กระเป๋ากางเกงใช้งานเข้าวันที่ 2 เท่านั้น หน้าจอก็ได้รอยนี้ขึ้นมาแล้ว (ในการทดสอบ ผมใส่มือถือเครื่องอื่นๆ ไว้ที่กระเป๋าอื่น แล้วให้ Lumia 930 อยู่ในกระเป๋ากางเกงอันเดียว) ซึ่งปัญหานี้ส่วนหนึ่งเพราะกระจกโค้งด้วย อีกส่วนคาดว่าน่าจะมาจากปัญหาด้านการควบคุมคุณภาพ เพราะ Lumia 630 ที่ใช้มาก่อนหน้า ไม่เจอปัญหานี้
ผมพยายามคิดว่าอาจจะคิดไปเอง แต่เมื่อปล่อยไปถึงค่อนวัน ผมพบว่ารอยดังกล่าวที่เกิดจากหน้าจอเสียดสีกับผ้าในกระเป๋ากางเกงก็ขยายบริเวณมากขึ้นจนน่าตกใจ ทางออกที่ผมแก้ไปชั่วคราวคือรีบวิ่งหาร้านที่รับติดฟิลม์กันรอย (ซึ่งก็ติดได้ไม่หมดเพราะกระจกโค้ง) และอีกทางก็คือกัดฟันซื้อเคสราคา 1,190 บาท ซึ่งอย่างหลังเป็นทางออกที่ดูแล้วอาจจะถาวรมากที่สุด
ปัญหาสุดท้ายนี้ดูจะเป็นปัญหาที่น่าสาหัสที่สุดของ Lumia 930 เพราะการที่เคลือบหน้าจอหลุดแล้วทำให้หน้าจอทั้งหมดดูกระดำกระด่างแบบนี้ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ และเป็นประเด็นเล็กๆ ที่อาจจะทำให้ Lumia 930 ต้องมาเสียท่าตายน้ำตื้นเอาง่ายๆ
ในเรื่องของการโทรศัพท์ ต้องยอมรับว่าเสียงที่ได้ดีมาก และคุณภาพในการโทรต้องถือว่าอยู่ในขั้นน่าพอใจเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของลำโพง โดยเฉพาะ Speakerphone ยังถือว่าค่อนข้างเบา เวลาเล่นเพลงแล้วเบาอยู่หลายช่วงตัว (แพ้ Droid Ultra) และให้เสียงที่ไม่ลุ่มลึกอย่างที่หวังไว้
อีกจุดหนึ่งที่อาจจะกล่าวเอาไว้เป็นหมายเหตุเล็กๆ ก็คือ ในหลายครั้งที่เครื่องทำงานเองโดยอัตโนมัติ เพราะการมีปุ่มสำหรับกล้องโดยเฉพาะบนตัวเครื่อง ทำให้เวลาเดินบางครั้ง ตัวเครื่องจะทำงานขึ้นมาเอง กว่าผมจะรู้ตัวก็เมื่อสังเกตว่าทำไมที่ขาเริ่มอุ่นๆ ผิดปกติ
กล้องของ Lumia 930 ใช้เทคโนโลยีและความละเอียดเดียวกันกับ Lumia 1520 และจากเท่าที่สอบถามจากพนักงานในวันแถลงข่าวเปิดตัว ตัวเซนเซอร์ของกล้องใน Lumia 930 เหมือนกับ Lumia 1520 แทบจะทุกประการ ดังนั้นภาพที่ได้ จึงไม่มีความต่างจาก Lumia 1520 เลยแม้แต่น้อย (และเช่นเคย ปัญหาทุกอย่างที่กล้องของ Lumia 1520 มี จึงมีอยู่ใน Lumia 930 ด้วย)
ในสถานการณ์ปกติ ภาพถ่ายที่ได้ถือว่าดีมาก เรียกว่าผมชอบทันทีที่เห็น ตัวอย่างก็เช่นภาพด้านล่างครับ
เมื่อลงถ่ายภาพที่เน้นใกล้ๆ (เช่น มาโคร) ผลที่ได้ก็ยังเป็นที่น่าพอใจครับ อย่างไรก็ตามตัวกล้องค่อนข้างปรับ White Balance ได้ค่อนข้างช้าอยู่พอสมควร (และบางทีก็ทำโฟกัสไม่ถูกจุดเหมือนกัน ถ้าไม่สั่งเองก็ต้องรอครับ)
แต่พอถ่ายภายตอนกลางคืน อย่างเช่นในเมืองที่มีแสงค่อนข้างจัดจากป้ายโฆษณา แม้ว่าจะเก็บรายละเอียดได้เยอะ แต่ถือว่ากล้องของ Lumia 930 ยังทำได้ไม่ดีพอในจุดนี้ (ตัวอย่างเช่น บริเวณที่แสงจัดก็จะเบลอ ฟุ้ง) เมื่อเทียบกับรุ่นใหญ่อย่าง Lumia 1020 (แต่แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว)
ทั้งนี้ในซอฟต์แวร์ Nokia Camera ผู้ใช้สามารถปรับแต่งค่าได้เพิ่มเติมตามที่ต้องการ (บังเอิญผมไม่ค่อยได้มีโอกาสปรับตั้งค่า เพราะอยากทดสอบในสภาพปกติจากผู้ใช้ทั่วไป แต่บางภาพก็ปรับบ้าง) และรวมไปถึงกำหนดให้บันทึกภาพเป็น JPG ควบคู่กับ DNG เพื่อสำหรับการเข้าไปปรับแต่งเพิ่มในแอพเฉพาะอย่าง Adobe Lightroom หรือ Adobe Photoshop ได้ด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีคุณสมบัติทำ Living Images ซึ่งก็คือการบันทึกภาพที่มีวิดีโอสั้นๆ สักหนึ่งถึงสองวินาที มารวมร่างกับภาพก่อนหน้า ทำให้ภาพดูเคลื่อนไหวบางส่วน ซึ่งผมก็มีโอกาสได้เล่นตอนงานเปิดตัว แต่เอาเข้าจริงแล้วพอถึงการรีวิวจริงผมก็ปิด เพราะไม่เห็นประโยชน์เท่าใดนัก (อาจจะมีบางภาพที่เราอยากให้เป็น Living Images แต่ก็ไม่ใช่ทุกภาพ)
โดยส่วนตัว ผมชอบ Lumia 930 ในหลายจุด ตั้งแต่ตัวเครื่อง ขนาด ไปจนถึงสัมผัสของตัวเครื่อง และหน้าจอที่สู้แดดได้ดีมากๆ และประสิทธิภาพก็ดี ถือว่าสอบผ่านได้คะแนนดีมาก
ทว่า ปัญหาที่ผมคิดไม่ตกสำหรับ Lumia 930 ก็เหมือนกับ Lumia 630 นั่นก็คือ Windows Phone 8.1 ที่ทำออกมาได้ดีแต่ยังไม่เข้าที่ และโดยเฉพาะบน Lumia 930 ที่ความเสถียรยังเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งทางไมโครซอฟท์ควรรีบแก้ไขให้เร็วที่สุดในจุดนี้ (ถ้าเสถียรต่ำกว่า Lumia 630 ผมว่าน่าจะมีปัญหาแล้วนะ)
ส่วนเรื่องหน้าจอที่เป็นรอยด่างเพราะสารเคลือบหลุดง่ายนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา ทางออก (ซึ่งไม่ค่อยดีและไม่สมเหตุผล) คือการใช้คู่กับเคสที่วางจำหน่ายคู่กับ Lumia 930 แต่ผมเชื่อว่าทางแก้ที่ดีที่สุด คือการที่ไมโครซอฟท์ ต้องกลับไปทำการบ้าน หรือไปเข้มงวดกับหน่วยที่ตรวจสอบคุณภาพให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อที่จะทำให้ Lumia 930 ในล๊อตหลังๆ ก่อนการวางขาย (ในอีกไม่กี่วันนี้ที่บ้านเรา) ดีขึ้นกว่าเดิม
ด้วยราคาที่ 19,890 บาท ซึ่งจะวางจำหน่ายวันที่ 9 กรกฎาคม นี้ ในประเทศไทย เมื่อเทียบกับเรือธงตัวอื่นแล้วผมรู้สึกว่า Lumia 930 เอง อาจจะต้อง “เหนื่อย” อย่างมากกับการแข่งกับเรือธงและสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ด้วยเหตุผลสองอันหลัก
หนึ่ง สำหรับในบรรดาเรือธงต่างค่ายด้วยกัน ปัจจัยด้านระบบนิเวศ (ecosystem) ของระบบปฏิบัติการเป็นสิ่งที่สำคัญ Windows Phone 8.1 ย่อมไม่มีทางต่อสู้กับ Android ได้อยู่แล้ว ผสมกับสเปคที่ถือว่าค่อนข้างต่ำกว่าคู่แข่งรายอื่น ก็ทำให้ผมกังวลใจว่า Lumia 930 จะมีที่ยืนในตลาดเรือธงด้วยกันได้อย่างไร
สอง ในบรรดา Lumia ด้วยกันเอง Lumia 930 มักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Lumia 1520 ซึ่งมีสเปคที่ใกล้เคียงกัน แต่ได้หน้าจอที่ใหญ่กว่า และใส่การ์ดหน่วยความจำเพิ่มได้ ขณะที่ราคาก็เท่าๆ กันแล้วในตอนนี้ คำถามก็คือ แม้ Lumia 930 จะสดใหม่กว่า แต่ผู้ใช้ต้องการในสิ่งที่ Lumia 930 นำเสนอหรือไม่? ในเมื่อที่มีแล้วใน Lumia 1520 แถมในราคาเท่ากันยังได้หน้าจอที่ใหญ่กว่าด้วย (ไม่นับ Glance screen ที่ยังไม่โดนตัดใน 1520 อีกด้วย)
ทั้งหมดทั้งปวง คงต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่จะพิสูจน์ว่า Lumia 930 จะสามารถสร้างปรากฏการณ์ได้เพียงใด เพราะการมาของ Lumia 930 นั้นไม่ใช่หนทางที่ง่ายเลยแม้แต่น้อย (อย่างน้อยๆ ก็เดินตามเงา Lumia 1520 มาติดๆ) และอาจจะจบลงแบบที่เพลง Too much, Too little, Too late ร้องไว้ก็เป็นไปได้
ข้อดี
ข้อด้อย
ป.ล. ภาพทั้งหมดดูได้จากที่นี่ครับ