จากข่าว กสท. ลงมติให้ "สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" (ช่อง 3 Analog) สิ้นสุดการทำหน้าที่เป็นโทรทัศน์ทั่วไประดับชาติ ผมเชื่อว่ามีคนสับสนเรื่องนี้ไม่น้อยเพราะมันซับซ้อนมาก บทความนี้จะพยายามอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่าง ช่อง 3 กับทีวีดิจิตอลครับ
ก่อนอื่นเลยต้องแยกแยะกันสักนิดว่าคำว่า "ช่อง 3" ในปัจจุบันมี 4 ความหมายที่ต้องเจาะจงว่าหมายถึงอะไรกันแน่
จำง่ายๆ คือช่อง 3 ดั้งเดิมใช้โลโก้แถบสีแบบเดิม ส่วนช่อง 3 ดิจิทัลทั้งหมดใช้โลโก้ใหม่ที่เป็นวงกลมคล้ายๆ ลูกฟุตบอลครับ (ดูรูปประกอบ)
ทั้งสี่ช่องนี้เป็นการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท BEC เหมือนกัน แต่นิติบุคคลที่บริหารจัดการแต่ละช่องนั้นแยกบริษัทกัน (ของเดิม = บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นท์, ระบบดิจิตอล = บริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย)
ในทางตัวหนังสือ กิจการส่วนของทีวีแอนะล็อกกับทีวีดิจิตอลแยกส่วนขาดกันชัดเจน ทั้งในแง่สัญญา/ใบอนุญาต, วิธีการออกอากาศ, เนื้อหาที่จะนำมาเผยแพร่
แต่ในทางปฏิบัติ เมื่อหน่วยงานเจ้าของทีวีแอนะล็อกเดิมทั้ง 6 ช่อง ได้รับใบอนุญาตทีวีดิจิตอลด้วย ทำให้เกิดสภาวะ "หนึ่งองค์กร สองระบบทีวี" และเมื่อการทำช่องทีวีหนึ่งช่องต้องใช้ทุนทรัพย์มหาศาล การนำเนื้อหาในช่องแอนะล็อกมาฉายบนช่องดิจิตอลด้วย (ภาษากฎหมายเรียก "ออกอากาศคู่ขนาน") จึงเหมาะสมกว่าทั้งในแง่ต้นทุนและความคุ้นเคยของผู้ชม
กสทช. จึงเปิดโอกาสให้นำเนื้อหาในช่องแอนะล็อกเดิมมาฉายบนช่องดิจิตอลได้ด้วย แต่ต้องยอมปรับเนื้อหาให้เข้ากับกฎเกณฑ์ของทีวีดิจิตอล (เช่น ระยะเวลาโฆษณาที่ไม่เท่ากัน หรือผังรายการ) และปฏิบัติตามระเบียบของ กสทช. (เช่น เสียค่าธรรมเนียมใบอนุญาต)
ช่อง 5, 11, ThaiPBS มาขอออกอากาศคู่ขนานในทีวีดิจิตอลแบบบริการสาธารณะ ส่วนช่อง 7 และ 9 ก็มาออกอากาศคู่ขนานในแบบธุรกิจแล้ว (ตัวอย่างข่าว กสทช. อนุมัติช่อง 9 ออกคู่ขนาน)
ส่วนช่อง 3 ยังไม่ได้มายื่นขอออกอากาศแบบดิจิตอล (ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น ค่าโฆษณา เลขช่อง) ในแง่กฎหมายแล้ว บริษัท BEC ไม่สามารถนำเนื้อหาในช่อง 3 เดิมมาออกอากาศผ่านระบบดิจิตอลได้ตรงๆ เพราะถือเป็นคนละนิติบุคคลกัน (รายละเอียดอ่านได้จาก ผ่ากลยุทธ์ดิจิตอลทีวีช่อง 3 ของนิตยสาร Positioning)
จากหัวข้อข้างต้น ทีวีดิจิตอลกับแอนะล็อกแยกส่วนกันชัดเจน แต่ความสับสนเริ่มบังเกิดเมื่อเมืองไทยดันมีระบบทีวีดาวเทียม/เคเบิ้ลอีกระบบหนึ่ง (แถมนิยมอีกต่างหาก) และในอดีตที่ผ่านมาผู้ให้บริการจานดาวเทียม/เคเบิ้ลใช้วิธี "เกี่ยวสัญญาณ" ของทีวีแอนะล็อก 6 ช่องเดิมไปฉายบนระบบดาวเทียม/เคเบิ้ลด้วย ทำให้ผู้บริโภคคุ้นเคยกับการดู "ทีวีแอนะล็อก" ผ่าน "จานดาวเทียม" อยู่ก่อน (โดยไม่มีอำนาจทางกฎหมายรองรับ เพราะทำตั้งแต่ก่อนมี กสทช. ช่วงที่เป็นสุญญากาศทางการกำกับดูแล)
เมื่อเกิดหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. ขึ้นมา กสทช. ได้ออกประกาศฉบับหนึ่งเมื่อปี 2555 ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ประกาศ Must Carry (ชื่อราชการคือ หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป) เนื้อหาของมันคือกำหนดให้ "ฟรีทีวี" ต้องออกอากาศได้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทีวีภาคพื้นดิน ทีวีดาวเทียม เคเบิ้ลทีวี และสัญญาณภาพที่ออกอากาศจะต้องเหมือนกันทุกช่องทางเสมอ
คำว่า "ฟรีทีวี" หรือ "การให้บริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป" ตามประกาศ กสทช. นั้นหมายถึงทีวีบริการสาธารณะ, ทีวีบริการธุรกิจ และทีวีอื่นๆ ที่ กสทช. กำหนด
เป้าหมายดั้งเดิมของประกาศ Must Carry คือบีบให้ผู้บริการทีวีดาวเทียมและเคเบิ้ลทีวีต้องเกี่ยวสัญญาณทีวีแอนะล็อก+ดิจิตอลไปฉายด้วย ซึ่งจะช่วยให้ฐานผู้ชมทีวีดิจิตอลกว้างขึ้น (เพราะคนจำนวนมากสามารถดูได้จากดาวเทียม แม้ในพื้นที่นั้นยังไม่มีเสาสัญญาณดิจิตอล)
แต่ช่วงแรกนั้น กสทช. กำหนดให้ทีวีแอนะล็อก 6 ช่องเดิมถือเป็น "ฟรีทีวี" ด้วย (อยู่ในบทเฉพาะกาล มีผลจนกว่า กสทช. จะประกาศแก้ไข) ประกาศฉบับนี้จึงกลายเป็นฐานอำนาจให้ทีวีดาวเทียมสามารถนำสัญญาณทีวีแอนะล็อกเดิมที่ไม่ออกอากาศคู่ขนาน (ในที่นี้คือช่อง 3 ดั้งเดิม) มาฉายบนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ตรงนี้ดูลำดับเวลาดีๆ นะครับ
มติ กสท. (บอร์ดกระจายเสียงของ กสทช.) ทำให้ช่อง 3 ดั้งเดิมไม่สามารถฉายผ่านดาวเทียม/เคเบิ้ลได้อีกต่อไป แต่ยังสามารถฉายผ่านระบบแอนะล็อกเดิมได้ต่อไปจนถึงปี 2563 และถ้าอยากฉายผ่านระบบดิจิตอล (ซึ่งจะได้สองเด้งคือถูกส่งต่อไปฉายบนเคเบิ้ล/ดาวเทียมตามประกาศ Must Carry ด้วย) ก็ต้องมาขอใบอนุญาตกับ กสทช. เหมือนกับที่ช่อง 7 ทำ
แต่ก่อนมติ กสท. จะมีผลเพียงไม่กี่วัน บ้านเราเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เข้าซะก่อน และในวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 (หลังรัฐประหาร 2 วัน) คสช. ก็ออกประกาศฉบับที่ 27/2557 กำหนดให้ทีวีแอนะล็อกและทีวีดิจิตอล สามารถออกออกอากาศได้ตามปกติทั้งระบบภาคพื้น ดาวเที้ยม เคเบิ้ล
เป้าหมายของประกาศ คสช. คือให้การถ่ายทอดสดรายการของ คสช. ออกอากาศได้ทุกช่องทาง แต่ประกาศฉบับนี้กลับส่งผลให้ชะตาของช่อง 3 ดั้งเดิม ยืดอายุต่อไปได้
กสท. ยอมยืดอายุ 30 วันตามประกาศฉบับ 4/2557 เป็น 100 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันนี้ (1 กันยายน)
พอรอดจากปัญหาระยะสั้น บริษัท BEC หวังแก้เกมยาว โดยยื่นฟ้องศาลปกครองขอให้เพิกถอนมติ กสท. 4/2557 และระหว่างรอตัดสินคดี ขอให้ศาลปกครองสั่ง "คุ้มครองชั่วคราว" เพื่อให้ช่อง 3 ดั้งเดิมออกอากาศผ่านดาวเทียมได้ดังเดิม
ผลคือศาลรับฟ้องแต่ไม่สั่งคุ้มครองชั่วคราว ดังนั้นมติ กสท. 4/2557 ยังมีผลจนกว่าศาลจะตัดสิน (ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะออกมาอย่างไร)
นอกจากนี้ ช่อง 3 ยังได้ทำหนังสือถึงหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. เพื่อสอบถามถึงแนวปฏิบัติตามมติ กสท. ว่าจะให้ทำอย่างไร ผลคือ คสช. ส่งเรื่องกลับมาถาม กสทช./กสท. ว่ามีความเกี่ยวโยงกันอย่างไรในเชิงกฎหมาย
กสท. ประชุมกันวันนี้ (1 กันยายน) และมีมติว่าจะไม่ยืดเวลา 100 วันออกไป ทำให้ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ผู้ประกอบการดาวเทียม/เคเบิ้ล ไม่มีสิทธินำช่อง 3 ดั้งเดิมมาออกอากาศนั่นเองครับ
ถ้าช่อง 3 เลือกเส้นทางที่ถูกต้องตามกรอบกฎหมาย ก็มี 2 ทางเลือกคือ
แต่ถ้าช่อง 3 + ผู้ประกอบการดาวเทียมยังมั่นใจว่า ด้วยความนิยมที่สั่งสมมานานจะทำให้ผู้บริโภคยังดูช่อง 3 ต่อไป ก็อาจ "ลอง" ฉายสัญญาณช่อง 3 ทางทีวีดาวเทียม/เคเบิ้ลต่อไปได้ในวันพรุ่งนี้ (2 กันยายน) ซึ่ง กสทช. ก็คงสั่งปรับ/ฟ้องตามมาตรการทางกฎหมายต่อไปครับ