ที่งาน Apple Event นอกจากการเปิดตัว iPhone 6 ทั้งสองรุ่นแล้ว แอปเปิลยังได้ถือโอกาสเปิดตัว Apple Watch (แอปเปิลเรียกว่า WATCH) นาฬิกาข้อมือของตัวเองในช่วงท้ายของการนำเสนอ ซึ่งครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่ทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิลได้ออกมาใช้ประโยคเด็ดของสตีฟ จ็อบส์ อย่าง “One More Thing...” ในการเปิดตัว Apple Watch
Apple Watch เป็นนาฬิกาข้อมือที่มีความแม่นยำไม่เกิน +/- 50 มิลลิวินาที ตัวซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของ Apple Watch ถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถเลือกเปลี่ยนแปลงได้ตามรสนิยมและความชอบใจ
รุ่นต่าง ๆ
Apple Watch จะมีทั้งหมดสามคอลเล็คชั่น (แอปเปิลเลือกใช้คำนี้) โดยแต่ละคอลเล็คชั่นจะมีสองขนาด และมาพร้อมกับสายรัดข้อมือที่มีขนาดที่แตกต่างกัน
นอกจากคอลเล็คชั่นที่แตกต่างกันแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถเลือกเปลี่ยนสายรัดข้อมือต่าง ๆ ได้ตามที่ต้องการ ที่แอปเปิลได้นำมาขายเองตอนนี้จะมีอยู่ทั้งหมดหกแบบ โดยจะแตกต่างกันที่วัสดุที่มีให้เลือกระหว่างแบบโลหะ, หนัง (ที่มีตัวล็อกแบบ buckle อีกหลายแบบ) และแบบ Sport ที่ออกแบบมาให้ทนกับเหงื่อและสารเคมีต่าง ๆ ได้
ชมภาพเพิ่มเติมได้จากเว็บแอปเปิลที่นี่
Digital Crown (เม็ดมะยม)
แอปเปิลบอกว่าทีมพัฒนาเห็นว่าจอภาพที่เล็กของ Apple Watch ไม่เหมาะสมกับการใช้มัลติทัช เพราะว่านิ้วของผู้ใช้จะบดบังเนื้อหาบนหน้าจอทั้งหมด แอปเปิลจึงได้เลือกการใช้เม็ดมะยมเพื่อทดแทนการซูมเข้าและออกด้วยนิ้วสองนิ้ว หรือในบางกรณีใช้แทนการ scroll ได้
การ “กด” เม็ดมะยมบน Apple Watch ก็เหมือนกับการกดปุ่ม Home button บนอุปกรณ์ iOS อื่น ๆ ผู้ใช้สามารถกลับไปสู่หน้าจอ Home Screen ได้ด้วยการกดเม็ดมะยมหนึ่งครั้ง และหากกดบนหน้า Home Screen อีกครั้ง Apple Watch จะแสดงหน้าปัดนาฬิกาให้
Digital Touch
Digital Touch เป็นแอพสื่อสารใหม่ที่ผู้ใช้สามารถเรียกขึ้นมาได้ด้วยการกดปุ่ม Digital Touch ซึ่งอยู่ด้านล่างของเม็ดมะยม โดยแอพตัวนี้เป็นแอพสื่อสารที่ผู้ใช้สามารถส่ง Emoji, วาดภาพ หรือส่ง “ใจ” ไปให้ผู้ใช้ Apple Watch อีกคนได้
Force Touch
ที่มาใหม่บน Apple Watch คือการกดลงไปบนหน้าปัดด้วยแรงที่มากกว่าปรกติ (น่าสนใจว่าทำไม iPhone 6 ถึงไม่มี) โดยสำหรับบน Apple Watch การจิ้มหน้าจอแรง ๆ แบบนี้จะเป็นการเรียก Contextual menu ลักษณะเดียวกับการกดปุ่ม Menu บน Android นั่นเอง
แต่จากภายในงานยังไม่มีการยืนยันว่าการจิ้มหน้าจอแรง ๆ (Force Touch) แบบนี้มันต่างกันกับการจิ้มหน้าจอค้าง (Long Tap) ธรรมดาหรือไม่
ฮาร์ดแวร์อื่น ๆ
ซอฟต์แวร์
สำหรับคุณสมบัติทางด้านซอฟต์แวร์ เช่นเดียวกับนาฬิกาอัจฉริยะยี่ห้ออื่น แอปเปิลได้ทำหน้าปัดนาฬิกาที่ผู้ใช้สามารถเลือกเปลี่ยนได้ไว้มากมาย แต่ในส่วนที่แอปเปิลได้ให้ความสำคัญมากในการเปิดตัวครั้งนี้คือการสื่อสารผ่านทาง Apple Watch
การสื่อสารผ่านข้อความปรกติทั่วไป Apple Watch จะพยายามทำความเข้าใจกับเนื้อหาของข้อความ เพื่อทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกตอบกลับข้อความได้อย่างรวดเร็วขึ้น เช่น หากข้อความถามมาว่า “พร้อมที่จะกินข้าวหรือยัง?” ผู้ใช้จะมีคำตอบให้เลือกตอบได้เลยว่า “พร้อม” หรือ “ไม่พร้อม”
เช่นกัน ผู้ใช้สามารถที่จะใช้วิธีตอบด้วยการใช้ Dictation แทนการพิมพ์ หรือเลือกใช้ Emoji แบบใหม่ที่แอปเปิลทำให้เฉพาะบน Apple Watch ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกแก้ไขหน้ายิ้มได้ตามที่ตัวเองต้องการได้
แต่ที่มาใหม่เลยสำหรับ Apple Watch จริง ๆ คือการสื่อสารที่แอปเปิลเรียกว่าจะทำให้ผู้ใช้ทั้งสองฝั่งรู้สึก “ใกล้ชิด” (intimate) กันมากกว่าเดิมนั่นก็คือการสื่อสารด้วย Digital Touch โดยผู้ใช้สามารถเลือกส่งเนื้อหาถึงกันได้สี่แบบคือ:
Applications
Apple Watch จะกลายเป็นแพลตฟอร์มใหม่อย่างเต็มตัว ที่จะรองรับการทำงานเป็นจอภาพที่สองของไอโฟน โดยเริ่มต้นแอพต่าง ๆ อย่าง Messages, Calendar, Apple Maps, Passbook, Music, Stocks, Photos, Siri และ Weather จะมีมาให้เลย โดยแอพเหล่านี้จะทำงานด้วยการดึงข้อมูลผ่านแอพตัวเดียวกันจากบนไอโฟน
สำหรับนักพัฒนาทั่วไป ก็สามารถทำให้แอพของตัวเองมาทำงานบน Apple Watch ได้ผ่านทาง WatchKit ซึ่งมีสามองค์ประกอบหลักได้แก่:
การใช้งาน Apple Watch จะต้องใช้งานคู่กับไอโฟนรุ่นที่รองรับ Bluetooth LE ซึ่งได้แก่ iPhone 5, 5s, 5c และ iPhone 6, 6 Plus ที่เพิ่งเปิดตัวไปวันนี้
Apple Watch จะเริ่มวางขายจริงในช่วงต้นปีหน้า และจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 349 ดอลลาร์สหรัฐ
ที่มา - งานเปิดตัว iPhone 6