หลังจากมีข่าวลือ และหลุดเกี่ยวกับ Meizu MX4 Pro ออกมา ในที่สุด Meizu ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Meizu MX4 Pro อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว โดยชูจุดเด่นที่หน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว (ตามข่าวลือ) ความละเอียด 2K แบบ NEGA LCD ที่ Meizu คุยไว้ว่ากินแบตมากกว่าจอ 1080p บน MX4 เพียง 1.05 เท่าแค่นั้น
ขณะเดียวกัน ตัวเครื่องยังมาพร้อมตัวสแกนลายนิ้วมือ mTouch ที่อยู่ด้านหน้าแบบเดียวกันกับ Touch ID บน iPhone 5s ขึ้นไป และนี่ถือเป็นรุ่นแรกของ Meizu ที่เลือกที่จะทิ้งปุ่มแบบ capacitive เพื่อไปใช้ปุ่มจริง ๆ โดยเบื้องหลังของมันคือ มันจะเก็บข้อมูลลายนิ้วมือไปในชิปของ Exynos ด้วยเทคโนโลยี TrustZone ของ ARM ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับที่ Apple และ Huawei เลือกใช้
สำหรับ mTouch นั้นจะนำไปใช้ในการปลดล็อกเครื่อง รวมไปถึงมันจะรองรับการซื้อขายสินค้าผ่าน AliPay และ WeChat โดยไม่ต้องกรอกรหัสผ่านในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า โดยระบบนี้ใช้ชื่อว่า mPay (หวังว่าไม่โดน AIS ฟ้องนะครับ)
ขณะที่ระบบเสียงของ Meizu MX4 Pro นั้นจะใช้ระบบเสียงที่เรียกว่า "Retina Sound" โดยแบ่งเป็นชิป DAC รหัส ES9018K2M (ตัวเดียวกับ Vivo Xplay 3S) แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ตัวนี้จะใช้ชิป amplifier ของ Texas Instruments รหัส OPA1612 ซึ่งเหนือกว่ารหัส OPA2604 ในแง่ของการกินไฟและประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น Meizu MX4 Pro ยังมีเทคโนโลยีใหม่ที่ทาง Meizu กำลังจดสิทธิบัตรอยู่อย่าง เทคโนโลยีกรองเสียงแบบ passive (passive filter technology) ที่ใช้ตัว capacitor และ resistor ในการกรอง
นอกจากความเปลี่ยนแปลงด้านฮาร์ดแวร์แล้ว ด้านซอฟต์แวร์ภายในของ MX4 Pro ก็น่าสนใจไม่น้อย โดย MX4 Pro มาพร้อมกับแอพกล้องแบบใหม่ที่พัฒนาร่วมกับ FotoNation ในเครือบริษัท Tessera Technologies มาพร้อมกับฟีเจอร์การถ่ายภาพตั้งแต่โหมด Auto, Manual, Beauty, Panorama, Light Field (คล้าย ๆ กับ Lumia Refocus), Night, Scan (สำหรับสแกน QR code), Slow Motion และ Microspur (โหมดมาโครประเภทหนึ่ง)
นอกจากนี้ MX4 Pro ยังมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง SmartTouch ซึ่งเป็นตุ่มกึ่งโปร่งแสงอยู่ด้านบนของหน้าจอ มีไว้สำหรับการสลับแอพไปมา รวมถึงสามารถลากแถบแจ้งเตือนลงมาโดยไม่ต้องเอื้อมนิ้วให้เมื่อย
สำหรับสเปกของ Meizu MX4 Pro มีดังนี้ครับ
Meizu MX4 Pro จะวางจำหน่ายวันที่ 6 ธันวาคมนี้ มีให้เลือก 3 สีคือ สีเทาดำ, สีเงิน และสีทอง สำหรับราคาของ Meizu MX4 Pro มีทั้งหมด 3 ราคา คือ
ที่มา: Engadget