จากประเด็นข่าวเมื่อวานนี้ อธิบดีกรมการขนส่งทางบกระบุ Uber ผิดกฎหมาย ส่งผลให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ความเห็นประเภทหนึ่งที่พบได้มาก (ไม่ว่าจะเป็นในระบบคอมเมนต์ของ Blognone เองหรือคอมเมนต์บนเว็บไซต์อื่นๆ) คือความเห็นลักษณะที่ว่า "กรมการขนส่งทางบกควรไปกำกับดูแลแท็กซี่ให้ดีก่อน แล้วค่อยมาเอาผิด Uber"
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่ออธิบายว่าตรรกะข้างต้นเรื่องการกำกับดูแลแท็กซี่นั้นไม่มีอะไรผิด แต่มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ Uber
ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นเรื่องกรมการขนส่งทางบก ผู้อ่านต้องเข้าใจแนวคิดของ "เศรษฐกิจแบบแบ่งปัน" (sharing economy) เสียก่อน
sharing economy ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่มันถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตามพัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ แนวคิดของมันคือการแบ่งปัน "ทรัพยากรส่วนเกิน" ระหว่างกลุ่มผู้บริโภค (consumer) ด้วยกันเอง เพื่อให้ไม่ต้องพึ่งพาผู้ให้บริการ (provider) แบบดั้งเดิม
ตัวอย่างที่ชัดเจนมากๆ คือการขายสินค้ามือสอง ซึ่งเป็น "สิ่งของ" (ทรัพยากรในแง่เศรษฐศาสตร์) ที่เจ้าของไม่ใช้แล้ว (เป็นส่วนเกินในชีวิต) นำมาแบ่งปันให้กับบุคคลอื่นที่อาจใช้ประโยชน์จากมันแทนได้ กระบวนการแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันสิ่งของมือสองในอดีตคือการนำมาขายตามตลาดนัดประเภทเปิดท้ายขายของ ซึ่งถูกจำกัดด้วยพื้นที่เชิงกายภาพ (คนซื้อคือคนที่มาเดินตลาดเท่านั้น) แต่เมื่อเกิดอินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์อย่าง eBay หรือ Craiglist ขึ้นมา ทำให้เราสามารถแลกเปลี่ยนสินค้ากับใครก็ได้บนโลก ขยายพรมแดนของพื้นที่แลกเปลี่ยนออกไปจากเดิมมาก
sharing economy ในยุคแรกๆ ของอินเทอร์เน็ตถูกจำกัดเฉพาะสิ่งของหรือบริการบางอย่างเท่านั้น เพราะอินเทอร์เน็ตถูกจำกัดการเข้าถึงเฉพาะจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งมักเป็นอุปกรณ์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดิมไม่เคลื่อนย้ายไปไหน (ด้วยข้อจำกัดเรื่องขนาดและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต) แต่เมื่อเทคโนโลยีอุปกรณ์พกพาและอินเทอร์เน็ต 3G เกิดขึ้น ทำให้ sharing economy ขยายปริมณฑลของตัวเองตามมา
เราจึงเห็น "แอพ" สำหรับแบ่งปันทรัพยากรสารพัดชนิดเท่าที่มนุษย์ (และผู้ประกอบการ) สามารถนึกฝันไปได้ หัวหอกของแอพกลุ่มนี้คือ Airbnb (แบ่งปันห้องเช่า-บ้านพัก) และ Uber (แบ่งปันการขนส่ง/คมนาคม) แต่จริงๆ แล้วยังมีแอพกลุ่มนี้อีกมาก เช่น
ประเด็นเรื่อง sharing economy ถือว่ามีความสำคัญเพราะส่งผลกระทบต่อ "ความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจ" ในระบบเดิมๆ เพราะมันเป็นการส่งเสริมให้ผู้ซื้อได้มาเจอกับ "ผู้ขาย" ที่มีสถานะเป็นบุคคลทั่วไปได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการตัด "คนกลาง" (middleman) แบบดั้งเดิมออกไป แถมยังเอื้อให้ผู้บริโภคยุคหน้าไม่จำเป็นต้อง "เป็นเจ้าของ" (ownership) สิ่งของหรือบริการบางอย่างอีกแล้ว เพราะสามารถใช้วิธีเช่าหรือซื้อบริการชั่วคราวได้อย่างง่ายๆ แค่เพียงจิ้มหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
แนวคิด sharing economy ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารด้านธุรกิจของต่างประเทศ และถึงเคยลงหน้าปก The Economist ด้วยซ้ำ (อ่านได้จากบทความ The rise of the sharing economy)
การเกิดขึ้นของ sharing economy ที่ทำลายความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจในรูปแบบเดิมๆ ของทุกวงการ ส่งผลให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในทุกวงการต้องปรับตัวรับมือเศรษฐกิจรูปแบบใหม่นี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภค ผู้ให้บริการ หรือหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐ ก็ย่อมต้องปรับตัวกันทั้งนั้น
กรณีของ Uber นั้นชัดเจนมากว่าส่งผลกระทบต่อผู้ให้บริการรถแท็กซี่ในรูปแบบเดิมๆ (ในฐานะคู่แข่งที่เข้ามาคุกคามธุรกิจเดิม) เราจึงเห็นข่าวสมาคมแท็กซี่ในเมืองใหญ่ทั่วโลกออกมาประท้วง Uber กันมากมาย เช่น
นอกจากความไม่พอใจของคู่แข่งธุรกิจโดยตรงแล้ว ในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลโดยรัฐอย่างเข้มงวด มีกฎเกณฑ์หรือกฎระเบียบ (ที่ออกแบบมาบนฐานของความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจแบบเดิม) อย่างชัดเจน บริการแนวใหม่เหล่านี้ (ที่ทำลายความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจแบบเดิม) จึงหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับกฎระเบียบและหน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมายไม่ได้
Airbnb เป็นบริษัทที่มีข่าวอยู่เสมอในเรื่องการต่อสู้กับกฎระเบียบด้านห้องเช่าหรือห้องพักแบบเดิมๆ กรณีที่โด่งดังที่สุดคือ เมืองนิวยอร์กตัดสินให้ Airbnb ผิดกฎหมายโรงแรมของเมือง ที่ห้ามคนทั่วไปให้เช่าห้องในระยะสั้นกว่า 30 วันโดยไม่ได้รับอนุญาต (เพราะจะทับซ้อนกับบริการโรงแรม)
ส่วน Uber (และบริการประเภทเดียวกันอย่าง Lyft) ก็เผชิญกับการแทรกแซงของภาครัฐทั่วโลกเช่นกัน เราเห็นข่าวการเข้ามากำกับดูแล Uber อย่างมากมายในรอบปีสองปีที่ผ่านมา คัดมาเฉพาะที่เคยมีข่าวใน Blognone นะครับ
คลิปข่าว BBC สมาคมผู้ขับแท็กซี่ลอนดอน รวมตัวทำรถติดเพื่อประท้วง Uber
ปัญหาเรื่องความล้าสมัยของกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ และการกำกับดูแลที่ปรับตัวตามไม่ทันเทคโนโลยี ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่เลย เราเห็นประเด็นปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในประวัติศาสตร์มนุษย์ยุคใหม่
ตัวอย่างที่เมืองไทยพูดกันมาเยอะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคือความพยายามปรับปรุงกฎหมายภาษีมรดกและภาษีที่ดิน ที่ล้าสมัยไปมากและตามไม่ทันโครงสร้างทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน หรือประเด็นเรื่องกฎหมายไอซีทีกับความพยายาม "บล็อคเว็บ" (ที่ในแง่เทคโนโลยีแทบเป็นไปไม่ได้) ก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่ผู้อ่าน Blognone คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
เหตุผลที่ระบบกฎหมายตามเทคโนโลยีไม่ทันอยู่เสมอนั้น Alvin Toffler นักอนาคตศาสตร์ชื่อดังเคยอธิบายไว้ในหนังสือ ความมั่งคั่งปฏิวัติ (Revolutionary Wealth) ว่าสถาบันแต่ละประเภทในโลกนั้นขับเคลื่อนตัวเองด้วย "ความเร็ว" ที่แตกต่างกัน โดยบริษัทเอกชนจะเคลื่อนตัวเร็วที่สุด ตามด้วยภาคสังคม ครอบครัว ที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วลดหลั่นลงมา ส่วนสถาบันที่ขับเคลื่อนช้าที่สุดคือระบบกฎหมายนั่นเอง (อ่านรายละเอียดเรื่องนี้ในบล็อกของคุณ house ที่เขียนถึงแนวคิดของ Toffler ประเด็นนี้)
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจนักที่หน่วยงานกำกับดูแลด้านการขนส่งทั่วโลก เผชิญปัญหาคล้ายๆ กันคือไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับบริการแนวใหม่อย่าง Uber (เพราะธรรมชาติของหน่วยงานเหล่านี้ที่เคลื่อนตัวช้าเป็นปกติ) ในขณะที่ผู้บริโภคกลับปรับตัวรับมือ Uber ได้รวดเร็วกว่ากันมาก ความเหลื่อมซ้อนของจังหวะเวลาลักษณะนี้จึงสร้าง "ความขัดแย้ง" หรือ "การปะทะ" ของหน่วยงานที่มีจังหวะเวลาไม่เท่ากันนั่นเอง
หมายเหตุ: ในอีกฝั่งหนึ่ง ต้องไม่ลืมว่าคนขับรถในเครือข่าย Uber เองก็เคยออกมารวมตัวประท้วงบริษัทด้วยเช่นกันในประเด็นเรื่องเงื่อนไข-ค่าจ้างที่อาจมองว่าไม่เป็นธรรม ซึ่งบทความนี้จะไม่สนใจประเด็นนี้
กลับมาที่กรณีของประเทศไทย ประเด็นข่าวเรื่องกรมการขนส่งทางบกมองว่า Uber ผิดกฎหมายจึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะกรมการขนส่งทางบกยึดถืออำนาจตามกฎหมายที่อาจเริ่มล้าสมัยแล้วในปัจจุบัน (Blognone เคยนำเสนอความเห็นของนักกฎหมายไทยที่ตีความกฎหมายฉบับเดียวกัน และได้ผลออกมาเหมือนกันคือ "ผิดกฎหมาย") ซึ่งทางออกในประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการกันต่อไปตามกระบวนการของการแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบของแต่ละสังคม (เช่น กรมการขนส่งทางบกอาจแก้กฎกระทรวง หรือ ผลักดันให้เกิดกฎหมายด้านการขนส่งฉบับใหม่)
บริษัทไอทีล้ำยุคหลายแห่งเผชิญปัญหาลักษณะนี้มานานแล้ว และใช้กระบวนการผลักดันให้เกิดการแก้กฎหมายของต่างประเทศเพื่อให้ธุรกิจของตัวเองเดินหน้าไปได้ (ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกูเกิลพยายามล็อบบี้สภานิติบัญญัติทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นของสหรัฐ ให้แก้กฎหมายเกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับ) ส่วนบริษัทในข่าวนี้คือ Uber เองก็แสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการทำงานร่วมกับภาครัฐทุกประเทศเพื่อหาทางออกร่วมกัน แทนการเผชิญหน้าจนไม่สามารถทำธุรกิจต่อไปได้
แถลงการณ์ของ Uber ต่อประเด็นปัญหาในไทย
Uber แถลงยืนยันถึงความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัยของ Uber และความสะดวกสบายที่บอกให้กับผู้โดยสารจากการให้บริการของตนเองในกว่า 250 ประเทศทั่วโลก ขณะเดียวกันทาง Uber ก็กล่าวว่ายินดีน้อมรับข้อกฎหมายของไทย และพร้อมร่วมงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเข้าใจถึงสิ่งที่ Uber สามารถสร้างสรรค์ให้กับระบบคมนาคมของไทยอีกด้วย
จะเห็นว่าการกำกับดูแล Uber ของกรมการขนส่งทางบกของไทยนั้นแทบไม่มีสาเหตุอะไรเกี่ยวกับ "ปัญหาแท็กซี่" แบบดั้งเดิมเลย (แม้แท็กซี่ไทยไม่พอใจ Uber แต่กรมการขนส่งทางบกก็ต้องยึดตามกฎหมายอยู่ดี) ส่วนปัญหาคุณภาพของแท็กซี่ไทยนั้นเกิดจากปัจจัยใหญ่ๆ 2 ประการ
สรุปอีกรอบ เป้าหมายของบทความนี้ต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจว่า
หมายเหตุ: ภาพประกอบจาก Uber