ปี 2014 ต้องยอมรับว่าเป็นปีหนึ่งที่สมาร์ทโฟนในกลุ่ม Mid-end มีการทำตลาดแข่งขันกันอย่างรุนแรง (จากปัจจัยหลายๆ อย่างรวมถึงเรื่องค่าเงิน) จนทำให้สมาร์ทโฟนกลุ่ม High-end ไปจนถึง Flagship มีสะเทือนกันอยู่พอสมควร หนึ่งในผู้ผลิตที่ลงแข่งในตลาดนี้อย่าง HTC นั้นก็ได้ส่งสมาร์ทโฟนตระกูล Desire ออกมากินส่วนแบ่งตั้งแต่ตลาด Low-end ไปจนถึง Mid-end อย่างต่อเนื่อง และในปลายปี 2014 HTC ก็ขอสะเทือนตลาดนี้อีกครั้งด้วยการส่ง HTC Desire EYE ออกมาชิงส่วนแบ่งในตลาด Mid-end ด้วยสเปคระดับ Flagship กันเลยทีเดียว
สำหรับสเปคของ HTC Desire EYE นั้นมีรายละเอียดคร่าวๆ คือใช้ Snapdragon 801 ความถี่ 2.5 GHz (ตัวเดียวกับ One M8) หน้าจอ 5.2 นิ้วความละเอียด 1080p และจุดเด่นใหญ่ๆ ตามชื่อเลยคือกล้องหน้าที่มาพร้อมความละเอียด 13 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลชทูโทน ส่วนสเปคแบบละเอียดอ่านกันต่อได้จากข่าวเก่า
ณ วันนี้ HTC Desire EYE ได้วางจำหน่ายในประเทศไทยเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ด้วยราคาสุดคุ้มเพียง 15,990 บาท ผมก็เลยคันไม้คันมืออยากลองหยิบมาเล่น และแน่นอนว่าเอชทีซีประเทศไทยได้ส่งมาให้เล่นอยู่พักใหญ่ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ก็เลยมีโอกาสที่จะนำมาเขียนให้อ่านกันเป็นทางเลือกหนึ่งก่อนจะไปเจอ Flagship รุ่นใหม่ๆ ในเร็วๆ นี้ครับ
รูปทรงตัวเครื่องของ Desire EYE เรียกได้ว่าแทบไม่ต่างจาก Desire 816 ที่ออกวางจำหน่ายเมื่อตอนต้นปี แต่มีการปรับในส่วนรายละเอียดให้มีสีสันมากขึ้น ตัวเครื่องที่ผมได้มาเล่นเป็นสีขาวแดง และยังมีอีกสีหนึ่งคือสีน้ำเงินฟ้า ผิวของตัวเครื่องเป็นโพลีคาร์บอเนตเนื้อเดียวกับ HTC One X+ เปื้อนนิดเปื้อนหน่อยเอาน้ำหยดถูๆ ก็ออกเกลี้ยงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทีนี้เรามาลองดูรูปร่างในมุมต่างๆ กันดูครับ
ด้านหน้า ไล่จากบนลงล่างจะประกอบไปด้วย กล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลชทูโทน, Notification Led, เซ็นเซอร์ปรับแสง, ลำโพง HTC BoomSound และหน้าจอขนาดใหญ่ 5.2 นิ้ว
ด้านหลังจะประกอบไปด้วยกล้องหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลชทูโทน และไมโครโฟนตัวที่สอง
ด้านบนเป็นที่อยู่ของแจ๊คหูฟัง ส่วนด้านล่างเป็นพอร์ต Micro USB ข่าวร้ายคือทั้งคู่ไม่มีฝาปิด แต่ข่าวดีคือมันเคลือบสาร Superhydrophobic coating เอาไว้ แน่นอนครับว่าตัวนี้ “กันน้ำ” ได้ในระดับ IPx7
ด้านข้างซ้ายเป็นที่อยู่ของถาด microSD และถาด NanoSIM ส่วนด้านข้างขวาเป็นที่อยู่ของปุ่มปรับเสียง ปุ่ม Power และปุ่มชัตเตอร์
ซอฟต์แวร์ของ HTC Desire EYE ยังคงเป็น HTC Sense 6 บนฐานของ Android 4.4 แต่พิเศษที่มันยังมาพร้อมกับส่วนเสริม Eye Experience ที่ช่วยเพิ่มความสามารถให้กับกล้องมากพอสมควรซึ่งตรงนี้จะเขียนอธิบายอีกครั้งในหมวดกล้องนะครับ
ในด้านการใช้งานพื้นฐานถือว่าไม่แตกต่างจาก HTC Sense 6 ใน HTC One M8 และ HTC Sense 5 ใน HTC One M7 และยังมีความสามารถ Motion Launch ติดมาเหมือนกับ HTC One M8 รวมถึงรองรับแบ็คอัพจาก HTC Sense 5 และ HTC Sense 6 ในตัวเพื่อความสะดวกสบายในการใช้งานอีกด้วย
ข่าวร้ายที่สุดคือ HTC Desire EYE เป็นตัวแรกที่ถอดสิทธิ์การใช้งาน PlayStation Mobile เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
มาถึงจุดเด่นใน HTC Desire EYE แล้วล่ะครับ กับความสามารถด้านกล้องที่ได้รับการยกเครื่องใหม่ทั้งชุดด้วยส่วนเสริม Eye Experience เรื่องกล้องหลังผมคงไม่พูดถึงมากเพราะรายละเอียดไม่ต่างจาก HTC Desire 816 รวมถึงเรื่องแฟลชที่ดีกว่า HTC One M8 พอสมควร
แต่ที่จะคุยกันหนักๆ ในหัวข้อนี้คือเรื่องกล้องหน้าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ หลายคนสงสัยว่าการที่ HTC ยัดกล้องมาให้ขนาดนี้ จะทำให้การถ่ายเซลฟี่นั้นเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใดบ้าง ซึ่งก็ต้องบอกอย่างชัดเจนเลยว่ากล้องหน้าใน Desire EYE ทำให้การถ่ายเซลฟี่ หรือ Video Call นั้นสนุกขึ้นพอสมควรเลยทีเดียวครับ
ความสามารถใหม่ๆ ในการถ่ายภาพด้วยกล้องหน้านั้นก็มีเพิ่มเข้ามามากมายเลยล่ะครับ เอาเด่นๆ ก็ความสามารถในการถ่ายเซลฟี่อย่าง Auto Selfie ที่เรียกได้ว่าเป็นความสามารถที่ชาวเซลฟี่ทั้งหลายรอคอยกันแน่นอน เพียงแค่ถือโทรศัพท์ในระยะที่เหมาะสม ไม่กี่วินาทีกล้องก็จะจับโฟกัส และบันทึกภาพให้โดยอัตโนมัติ นอกจากนั้นยังมีความสามารถ Beauty Enhancement ที่ช่วยให้เราสามารถปรับรายละเอียดใบหน้าเบื้องต้นก่อนถ่ายภาพได้ด้วย
ส่วนความสามารถของ Video Call นั้นเรียกได้ว่ามีการปรับปรุงยกใหญ่ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า Video Chat Enhance ครับ ซึ่งความสามารถของเครื่องมือนี้ มีดังต่อไปนี้ครับ
สำหรับตัวอย่างภาพนั้น ผมขอเน้นภาพจากกล้องหน้าแทนกล้องหลังในหลายๆ รีวิวที่ผ่านมา เพื่อวัดกันไปเลยว่า กล้องหน้าบน Desire EYE ก็เทพไม่แพ้รุ่นอื่นๆ เหมือนกัน
ที่เหลือไปส่องได้ใน OneDrive ตามสะดวกครับ
สำหรับการใช้งาน Desire EYE นั้น ด้านซอฟต์แวร์เรียกว่าไม่แตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ที่ใช้ HTC Sense 6 ทั้งหมด แต่จะมีปัญหาก็ตรงที่ตัวเครื่องนั้นใหญ่เกินมือนิดนึง ด้วยความที่ตัวเครื่องนั้นพ่วงมาด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 5.2 นิ้ว บวกกับการออกแบบของ HTC ที่ยกเอาแผงวงจรบางส่วนมาอยู่ตรงโลโก้ HTC จึงทำให้ตัวเครื่องดูยาวกว่าปกติไปด้วย
แต่เอาเข้าจริงๆ เนื้อสัมผัสของ Desire EYE นั้นทำให้ตัวเครื่องยึดกับมือได้ในระดับหนึ่ง รวมถึงการย้ายปุ่ม Power มาอยู่ด้านข้าง ก็ยังทำให้สามารถใช้งานด้วยมือเดียวได้ดีพอสมควรอีกด้วย
สำหรับประสิทธิภาพของตัวเครื่อง ถือว่าทำได้ดีไม่แพ้ HTC One (M8) ที่สเปคเท่ากันอีกด้วย ซึ่งผล Benchmark นั้นมีดังนี้ครับ
เมื่อครั้งที่ Desire EYE เปิดตัว หลายคนบอกว่า HTC กั๊ก ให้ไม่สุด ซึ่งมันก็จริงเพราะมีแบตเพียง 2400 mAh จึงทำให้เกิดคำถามว่า “แล้วแบตมันจะพอใช้หรอ????” คำตอบคือ “พอครับ” เผลอๆ อยู่ได้สามวันด้วย!
ส่วนหนึ่งก็ต้องบอกว่าใน Desire EYE มีฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Sleep Mode ที่จะปิดการเชื่อมต่อทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเน็ต 4G/3G และ Wi-Fi ยกเว้นสัญญาณโทรศัพท์ เมื่อเข้าโหมดสแตนด์บายเหมือนกับ Stamina Mode ของโซนี่ รวมถึงโหมด Ultra Power Saving ที่จะยืดอายุแบตได้อีก 8-10 ชั่วโมง เมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อยกว่า 10% ด้วยการจำกัดฟังก์ชันการใช้งานให้เหลือเพียงโทรเข้า-โทรออก และส่งข้อความเท่านั้น
เดิมที Desire EYE ก็ได้รับการปรับแต่งเรื่องการใช้พลังให้ออกมาดีที่สุด ผลคือใช้งานปกติ ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม ฟังเพลง โทรศัพท์ เล่นเน็ต (4G !) หรือเซลฟี่ Desire EYE อยู่ได้วันกว่าๆ (ถอดสายตอนเช้า ประมาณสี่ทุ่มกลับมาเหลือ 20%) แต่ถ้าไม่ได้ใช้หนักมากอย่างเช่นผู้ใหญ่ที่เน้นแต่โทรเข้า-โทรออก (ผมไม่สบายสามวัน รับสายโทรศัพท์อย่างเดียว) แบตก็อยู่ได้ขำๆ “3 วันกว่าๆ” เลยล่ะครับ
งานนี้เลยเกิดคำถามขึ้นว่า ขนาดตัว Mid-end ยังทำได้ดีขนาดนี้ แล้วตัวท็อปปีหน้า ชะตากรรมจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เราก็คงต้องรอดูกันต่อไปครับ
สรุปก็คือ HTC Desire EYE ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนในกลุ่มหมื่นกลางๆ ที่น่าสนใจพอตัวเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่สเปคด้อยกว่าแต่ราคาสูงกว่า และด้วยฟังก์ชันด้านกล้องที่จัดเต็มชนิดไม่แคร์ชาวบ้าน ก็เรียกได้ว่า Desire EYE น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้วล่ะครับ ยิ่งตลาดหันมา mid-end กันมากขึ้น ก็ยิ่งปฏิเสธไม่ลงเลยทีเดียวครับ
ข้อดี
ข้อด้อย