เมื่อปลายปีที่แล้ว Fitbit ได้เปิดตัวอุปกรณ์ของตนเอง ซึ่งการเปิดตัวครั้งนี้จะดูธรรมดาๆเหมือนเช่นเคย ถ้า Fitbit ไม่ได้ใส่เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่สามารถทำงานได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งบอกว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้ 5 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และที่สำคัญคือ ยังคงขายราคาเท่าเดิมเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง Fitbit Force ที่ซึ่งวางขายได้ไม่นานก็ต้องเรียกสินค้าคืนทั้งหมด เพราะผู้ใช้งานมีการแพ้เมื่อสวมใส่
คำเตือน : ระวังเปลือง 3G เพราะรูปเยอะมาก
Fitbit Charge HR นั้นมีทั้งหมด 3 ขนาดคือ S (5.4" - 6.2"), L (6.2" - 7.6"), และ XL (7.6" - 8.7") ซึ่งวัสดุที่เป็นสายรัดนั้นทำมาจากยาง, ตัวล็อกสายทำมาจากสแตนเลส ซึ่ง Fitbit เคลมว่าวัสดุนั้นเกรดเดียวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสเปคต่างๆมีดังนี้ครับ
แกะกล่อง
Fitbit Charge HR มาในกล่องพลาสติกใส ที่สามารถโชว์สัดส่วนของตัวมันเองได้โดยรอบ ในกล่องประกอบไปด้วย
สายรัดข้อมือ
สายชาร์จ
ตัวซิงค์กับคอมพิวเตอร์
คู่มือ
โดยตัวเรือนและสายนั้นไม่สามารถถอดแยกออกมาจากกันได้ อีกทั้งตัวล็อกนั้นเป็นเหมือนนาฬิกาทั่วไปตามท้องตลาด จึงหมดกังวลได้เลยว่าจะไม่หลุดหายแบบไม่รู้ตัวแน่นอน
ด้านหลังประกอบไปด้วย พอร์ตสำหรับชาร์จ และบริเวณที่มีไฟสีเขียว คือเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
ปุ่มที่ใช้ควบคุมทุกอย่างอยู่ทางด้านซ้ายของอุปกรณ์
ฟังก์ชันการใช้งาน
Fitbit Charge HR มีทั้งหมด 8 อย่างดังนี้ครับ
การสวมใส่
โดยปกติแล้วตัวผมเองใส่ไว้ที่ข้อมือซ้าย เวลาใส่นั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกเกะกะแต่อย่างใด อีกทั้งตัวสายรัดข้อมือนั้นไม่ได้มีน้ำหนักมาก จนหลายๆครั้งลืมไปว่าใส่สายรัดข้อมือ(ลืมถอดตอนอาบน้ำ) แต่เวลาเอามาใส่ที่ข้อมือขวาจะรู้สึกประหลาดๆเวลาใช้งาน เพราะปุ่มที่ใช้กดนั้นอยู่ทางซ้ายของสายรัด (ใส่ข้อมือซ้ายใช้นิ้วโป้งมือขวากดปุ่ม, ใส่ข้อมือขวาใช้นิ้วชี้ซ้ายกดปุ่ม)
แต่นี่อาจจะเรียกว่าเป็นข้อดี เพราะเข้าใจว่าออกแบบมาให้สามารถใส่ได้ทั้งข้อมือซ้ายหรือ ข้อมือขวา ก็ยังคงสามารถใช้งานต่อได้ ไม่เหมือนนาฬิกาทั่วไปที่ถ้าเอาไปใส่มือขวาเวลาจะหมุนเม็ดมะยมนี้ผิดท่าผิดทางชอบกล
การใช้งานบน Smart phone
ตอนนี้แอพของ Fitbit เองก็ได้รองรับระบบปฏิบัติการบนมือถือเจ้าใหญ่ๆหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Android, iOS, หรือแม้กระทั่ง Windows Phone แต่ ณ ที่นี้ผมขอรีวิวบน iOS ครับ
หน้าหลักของแอพ Fitbit
ภายในหน้าแรกนี้สามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม
การตั้งค่า Fitbit Charge HR
ประการณ์การใช้งาน
เท้าความก่อนว่าตอนแรกนั้นผมหา Smart watch, หรือ Activity tracker มาแทนนาฬิกาที่เพิ่งพังไป โดยโจทย์คือ
1. ใส่ได้ทุกวัน
2. ใช้แทนนาฬิากาได้
3. แบตเตอรี่เกิน 3 วัน
4. ใส่ออกกำลังกายได้
5. และไม่ดูล้ำเกินไป
ซึ่งหลังจากหาอยู่ซักพักก็ได้ตัวเลือกต่างๆดังนี้ Apple watch, Misfit shine, Fitbit Charge แต่ก็ได้ตัด Apple watch ออก ด้วยความที่ว่าแบตเตอรี่ไม่อึด, ตัด Misfit shine ออกเพราะมันเหมือนเหรียญลวงโลก ก็กลายเป็นว่าเหลือ Fitbit อยู่เจ้าเดียว (จริงๆอยากได้มาตั้งแต่ Fitbit force แล้วแต่เงินติดลบ)
จากการใช้งานมาประมาณเกือบ 1 เดือน พบว่าแบตเตอรี่อยู่ได้จริงๆประมาณ 4 วัน ถ้า 5 วันตามแบบที่ Fitbit เคลมมานั้นคือแบตเตอรี่หมดแบบเปิดไม่ติดเลย แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ตั้งไว้ อีกทั้งตัวสายรัดเองก็ไม่ได้ดูล้ำโลกจนขนาดที่ต้องตกเป้าสายตาให้คนถามอยู่บ่อยๆ
ตัวฟีเจอร์ที่มีในตัว Fitbit Charge HR นั้นเรียกได้ว่ามีพอๆกับ Activity tracker ตัวอื่นๆในตลาด แต่การที่มีเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจมาให้นั้น ทำให้เรียกได้ว่าเป็น Activity tracker ที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เพราะใส่แค่ชิ้นเดียวก็เดิน/ทำกิจกรรมได้เลย, คุมโซนอัตราการเต้นของหัวใจได้ง่ายขึ้น(เหมาะกับคนออกกำลังกาย)
สรุป
Fitbit Charge HR เหมาะกับใคร?
- เหมาะกับคนที่กำลังมองหา Activity tracker ตัวเดียวที่สามารถใช้ได้ทุกงาน
- เหมาะกับบางคนที่ไม่อยากใช้สายรัดหน้าอกกับ smart phone เครื่องย่อมๆติดกับต้นแขนเวลาออกกำลังกาย
ข้อดี
ข้อเสีย
Update Sep 09, 2015 - หลังจากที่ FItbit Charge HR ได้รับการอัพเดทเป็นเวอร์ชั่น 18.84 ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ Quick View เข้ามา ซึ่งฟีเจอร์ใหม่นี้ จากเดิมที่เวลาจะดูนาฬิกาจะต้องแตะที่อุปกรณ์สองครั้ง ก็เปลี่ยนเป็นยกข้อมือขึ้นมาตัวอุปกรณ์ก็จะแสดงเวลาให้โดยอัติโนมัติครับ