รีวิว Fitbit Charge HR : Activity tracker ที่มาพร้อมกับเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ

by pongkantaphon
6 April 2015 - 04:39

เมื่อปลายปีที่แล้ว Fitbit ได้เปิดตัวอุปกรณ์ของตนเอง ซึ่งการเปิดตัวครั้งนี้จะดูธรรมดาๆเหมือนเช่นเคย ถ้า Fitbit ไม่ได้ใส่เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่สามารถทำงานได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งบอกว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้ 5 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และที่สำคัญคือ ยังคงขายราคาเท่าเดิมเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง Fitbit Force ที่ซึ่งวางขายได้ไม่นานก็ต้องเรียกสินค้าคืนทั้งหมด เพราะผู้ใช้งานมีการแพ้เมื่อสวมใส่

คำเตือน : ระวังเปลือง 3G เพราะรูปเยอะมาก

Fitbit Charge HR นั้นมีทั้งหมด 3 ขนาดคือ S (5.4" - 6.2"), L (6.2" - 7.6"), และ XL (7.6" - 8.7") ซึ่งวัสดุที่เป็นสายรัดนั้นทำมาจากยาง, ตัวล็อกสายทำมาจากสแตนเลส ซึ่ง Fitbit เคลมว่าวัสดุนั้นเกรดเดียวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสเปคต่างๆมีดังนี้ครับ

  • หน้าจอ OLED
  • แบตเตอรี่อยู่ได้ 5 วัน
  • เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, เซนเซอร์วัดความเร่ง 3 แกน, เซนเซอร์วัดความสูง
  • เก็บข้อมูลได้ 7 วัน และเก็บข้อมูลสรุปย้อนหลังได้ 1 เดือน
  • บลูทูธ 4.0 สามารถใช้ได้กับระบบปฏิบัติการ Android, iOS, และ Windows Phone

แกะกล่อง

Fitbit Charge HR มาในกล่องพลาสติกใส ที่สามารถโชว์สัดส่วนของตัวมันเองได้โดยรอบ ในกล่องประกอบไปด้วย

  1. สายรัดข้อมือ

  2. สายชาร์จ

  3. ตัวซิงค์กับคอมพิวเตอร์

  4. คู่มือ

โดยตัวเรือนและสายนั้นไม่สามารถถอดแยกออกมาจากกันได้ อีกทั้งตัวล็อกนั้นเป็นเหมือนนาฬิกาทั่วไปตามท้องตลาด จึงหมดกังวลได้เลยว่าจะไม่หลุดหายแบบไม่รู้ตัวแน่นอน

ด้านหลังประกอบไปด้วย พอร์ตสำหรับชาร์จ และบริเวณที่มีไฟสีเขียว คือเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ

ปุ่มที่ใช้ควบคุมทุกอย่างอยู่ทางด้านซ้ายของอุปกรณ์

ฟังก์ชันการใช้งาน

Fitbit Charge HR มีทั้งหมด 8 อย่างดังนี้ครับ

  • นาฬิกา

  • วัดจำนวนก้าว

  • อัตราการเต้นหัวใจ

  • ระยะทางที่เดินไป

  • จำนวนแคลลอรี่ที่ใช้ไป

  • จำนวนชั้นที่เดินขึ้น - เดินลงบันได

  • นาฬิกาปลุก

การสวมใส่

โดยปกติแล้วตัวผมเองใส่ไว้ที่ข้อมือซ้าย เวลาใส่นั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกเกะกะแต่อย่างใด อีกทั้งตัวสายรัดข้อมือนั้นไม่ได้มีน้ำหนักมาก จนหลายๆครั้งลืมไปว่าใส่สายรัดข้อมือ(ลืมถอดตอนอาบน้ำ) แต่เวลาเอามาใส่ที่ข้อมือขวาจะรู้สึกประหลาดๆเวลาใช้งาน เพราะปุ่มที่ใช้กดนั้นอยู่ทางซ้ายของสายรัด (ใส่ข้อมือซ้ายใช้นิ้วโป้งมือขวากดปุ่ม, ใส่ข้อมือขวาใช้นิ้วชี้ซ้ายกดปุ่ม)

แต่นี่อาจจะเรียกว่าเป็นข้อดี เพราะเข้าใจว่าออกแบบมาให้สามารถใส่ได้ทั้งข้อมือซ้ายหรือ ข้อมือขวา ก็ยังคงสามารถใช้งานต่อได้ ไม่เหมือนนาฬิกาทั่วไปที่ถ้าเอาไปใส่มือขวาเวลาจะหมุนเม็ดมะยมนี้ผิดท่าผิดทางชอบกล

  • ข้อมือซ้าย

  • ข้อมือขวา

การใช้งานบน Smart phone

ตอนนี้แอพของ Fitbit เองก็ได้รองรับระบบปฏิบัติการบนมือถือเจ้าใหญ่ๆหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Android, iOS, หรือแม้กระทั่ง Windows Phone แต่ ณ ที่นี้ผมขอรีวิวบน iOS ครับ

หน้าหลักของแอพ Fitbit

ภายในหน้าแรกนี้สามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม

  • อัตราการเต้นของหัวใจ, การนอนหลับ

  • แคลลอรี่ที่ใช้ไป, จำนวนก้าวที่เดิน

  • ระยะทางที่เดิน, และจำนวนชั้นที่เดินขึ้น - เดินลงบันได

  • จำนวนนาทีที่เคลื่อนไหวติดต่อกัน, การออกกำลังกาย

การตั้งค่า Fitbit Charge HR

  • ตั้งนาฬิกาปลุก, ตั้ง Caller ID จากโทรศัพท์(ไม่รองรับชื่อภาษาไทย)

  • ตั้งการแสดงค่าบนสายรัดข้อมือ, เลือกรูปแบบนาฬิกา

  • ตั้งค่าเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, ตั้งเป้าหมายหลัก

  • ตั้งค่าว่าใส่สายรัดบนข้อมือข้างที่ถนัดหรือไม่, และตั้งค่าเมื่อแตะ 2 ครั้งให้แสดงผลอะไร

ประการณ์การใช้งาน

เท้าความก่อนว่าตอนแรกนั้นผมหา Smart watch, หรือ Activity tracker มาแทนนาฬิกาที่เพิ่งพังไป โดยโจทย์คือ
1. ใส่ได้ทุกวัน
2. ใช้แทนนาฬิากาได้
3. แบตเตอรี่เกิน 3 วัน
4. ใส่ออกกำลังกายได้
5. และไม่ดูล้ำเกินไป

ซึ่งหลังจากหาอยู่ซักพักก็ได้ตัวเลือกต่างๆดังนี้ Apple watch, Misfit shine, Fitbit Charge แต่ก็ได้ตัด Apple watch ออก ด้วยความที่ว่าแบตเตอรี่ไม่อึด, ตัด Misfit shine ออกเพราะมันเหมือนเหรียญลวงโลก ก็กลายเป็นว่าเหลือ Fitbit อยู่เจ้าเดียว (จริงๆอยากได้มาตั้งแต่ Fitbit force แล้วแต่เงินติดลบ)

จากการใช้งานมาประมาณเกือบ 1 เดือน พบว่าแบตเตอรี่อยู่ได้จริงๆประมาณ 4 วัน ถ้า 5 วันตามแบบที่ Fitbit เคลมมานั้นคือแบตเตอรี่หมดแบบเปิดไม่ติดเลย แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ตั้งไว้ อีกทั้งตัวสายรัดเองก็ไม่ได้ดูล้ำโลกจนขนาดที่ต้องตกเป้าสายตาให้คนถามอยู่บ่อยๆ

ตัวฟีเจอร์ที่มีในตัว Fitbit Charge HR นั้นเรียกได้ว่ามีพอๆกับ Activity tracker ตัวอื่นๆในตลาด แต่การที่มีเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจมาให้นั้น ทำให้เรียกได้ว่าเป็น Activity tracker ที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เพราะใส่แค่ชิ้นเดียวก็เดิน/ทำกิจกรรมได้เลย, คุมโซนอัตราการเต้นของหัวใจได้ง่ายขึ้น(เหมาะกับคนออกกำลังกาย)

สรุป

Fitbit Charge HR เหมาะกับใคร?
- เหมาะกับคนที่กำลังมองหา Activity tracker ตัวเดียวที่สามารถใช้ได้ทุกงาน
- เหมาะกับบางคนที่ไม่อยากใช้สายรัดหน้าอกกับ smart phone เครื่องย่อมๆติดกับต้นแขนเวลาออกกำลังกาย

ข้อดี

  1. สายรัดข้อมือไม่ดูล้ำโลกเกินไป สามารถใช้ได้ทุกงาน
  2. แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้ 4 - 5 วัน
  3. สายรัดข้อมือน้ำหนักไม่เยอะ ทำให้ไม่รู้สึกรำคาญเวลาใส่ตลอดวัน

ข้อเสีย

  1. ราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบวัสดุ และราคาของคู่แข่งในท้องตลาด (ราคาครึ่งหมื่นนิดๆ)
  2. ใส่อาบน้ำไม่ได้
  3. ไม่มีฟีเจอร์ Power nap, และ Smart alarm เหมือนคู่แข่ง (เสียดายมาก)
  4. ยางของสายรัดข้อมืออมฝุ่น
  5. หน้าจอที่เป็นพลาสติกเป็นรอยง่ายมาก

Update Sep 09, 2015 - หลังจากที่ FItbit Charge HR ได้รับการอัพเดทเป็นเวอร์ชั่น 18.84 ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ Quick View เข้ามา ซึ่งฟีเจอร์ใหม่นี้ จากเดิมที่เวลาจะดูนาฬิกาจะต้องแตะที่อุปกรณ์สองครั้ง ก็เปลี่ยนเป็นยกข้อมือขึ้นมาตัวอุปกรณ์ก็จะแสดงเวลาให้โดยอัติโนมัติครับ

Blognone Jobs Premium