ไมโครซอฟท์ประกาศเป้าหมายของ Windows 10 ว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าจะต้องมีอุปกรณ์ที่รัน Windows 10 จำนวน 1 พันล้านชิ้น ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่มาก เพราะ Android KitKat ยังทำได้แค่ประมาณ 500 ล้านชิ้นเท่านั้น
เพื่อให้ Windows 10 มีแอพจำนวนมากพอ ไมโครซอฟท์จึงประกาศแนวทาง 4 ข้อที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถนำโค้ดของแอพบนแพลตฟอร์มอื่นๆ มาใช้งานบน Windows 10 ได้ง่ายขึ้น
ไฮไลท์อยู่ที่การนำโค้ด Android และ iOS มารันบน Windows 10 นั่นเองครับ
กรณีของ Android จะเป็นการนำแอพของ Android มารันบนอุปกรณ์ Windows 10 ได้เลย โดยไมโครซอฟท์จะนำบางส่วนของตัวระบบปฏิบัติการ Android (ใช้คำว่า Android subsystem) มาฝังอยู่บน Windows 10 for phones ด้วย
นักพัฒนาที่มีโค้ด Android อยู่แล้ว (ในสไลด์บอกว่ารองรับทั้ง Java/C++) สามารถพอร์ตแอพมารันบน Windows 10 ได้เลย (รายละเอียดว่าเข้ากันได้แค่ไหน ต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้งนะครับ)
ตัวอย่างที่นำมาโชว์ เป็นแอพจองโรงแรมบน Android
นำแอพเดียวกันมารันบน Windows 10 for phones (มุมขวาบนสุด)
หน้าตาจะคล้ายกัน แต่รองรับฟีเจอร์ของ Windows 10 แบบเนทีฟ เช่น คีย์บอร์ด
กรณีของ iOS จะต่างออกไปอยู่บ้าง โดยเป็นการนำโค้ดภาษา Objective-C มาคอมไพล์ใหม่บน Visual Studio บนวินโดวส์
ตัวอย่างการนำแอพชื่อ Math Dreams บน iOS มาคอมไพล์แล้วรันบน Windows 10 ไมโครซอฟท์บอกว่ารองรับฟีเจอร์ของ iOS อย่าง Core Animation ด้วย
นอกจาก iOS/Android แล้ว ไมโครซอฟท์ยังประกาศว่าเราสามารถนำโค้ดโปรแกรมบนวินโดวส์เดิม ที่เขียนไว้ด้วย .NET หรือ Win32 API มาแปลงเป็นแอพแบบ Universal ลง Windows Store ได้ด้วย
แอพ .NET/Win32 จะรันแบบ .exe ที่เข้าถึงตัวระบบปฏิบัติการได้มาก จนอาจไม่ปลอดภัยตามมาตรฐานแอพสมัยใหม่ ไมโครซอฟท์จึงแก้ปัญหาโดยการให้แอพรันแบบ application virtualized บนเทคโนโลยี App-V ของตัวเอง
บริษัทที่ประกาศว่าจะนำแอพ Win32 มาลง Windows Store คือ Adobe ที่สัญญาว่าจะเอา Photoshop Elements และ Premier Elements มาลงแน่นอน (ส่วน Photoshop CC ตัวเต็มนั้นยังไม่ประกาศ)
สำหรับคนที่มีเว็บแอพอยู่แล้ว ไมโครซอฟท์จะช่วยให้นำเว็บแอพมาแปลงเป็น Windows 10 ง่ายขึ้น โดยเซิร์ฟเวอร์สามารถตรวจสอบได้ว่าเว็บเว็บนั้นรันอยู่บนเบราว์เซอร์ หรือรันเป็นแอพ Universal ถ้าพบว่าเป็นกรณีหลัง ก็สามารถเข้าถึงฟีเจอร์ของระบบได้ เช่น รองรับ in-app purchase ของตัว Windows Store โดยตรงเลย