สัมภาษณ์คนไทยในซิลิคอนวัลเลย์ - วิทวัส กาญจนฉัตร แห่งบริษัทเทคโนโลยีโฆษณา Turn

by mk
18 July 2015 - 15:00

ซีรีส์ "สัมภาษณ์คนไทยในซิลิคอนวัลเลย์" มาถึงตอนที่ห้าแล้วนะครับ ตอนนี้เราจะมาคุยกับคุณวิทวัส กาญจนฉัตร วิศวกรคนไทยจากบริษัทโฆษณาออนไลน์ Turn Inc. ที่จะมาแนะนำข้อมูลของวงการเทคโนโลยีโฆษณา (Ad Tech)

ในบทสัมภาษณ์นี้ยังเล่าประสบการณ์และเทคนิคการสัมภาษณ์กับบริษัทไอทีชื่อดังหลายแห่ง ข้อมูลเรื่องวีซ่า การเสียภาษี การลดหย่อนภาษี และค่าใช้จ่ายสำหรับการอยู่อาศัยในอเมริกา รวมถึงประเด็นเรื่อง "ภาษาจีน" ในซิลิคอนวัลเลย์ที่อาจสำคัญกว่าหลายคนคิด

ประวัติความเป็นมา แนะนำตัวแบบคร่าวๆ

ผมเรียนจบปริญญาตรีวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่จุฬาฯ และได้มีโอกาสเข้าทำงานที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยผลงานที่คิดว่าหลายคนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากันคือโปรแกรมเทรดหุ้น Settrade Streaming for iPhone/iPad และ Streaming Pro ครับ

หลังจากนั้นผมมาศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้าน Information Technology ที่ Carnegie Mellon University (CMU) ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลกที่เข้ายากมาก แต่พอมาเรียนแล้วพบว่าสิ่งที่ยากกว่าคือการแข่งขันในมหาวิทยาลัย

เทอมแรกผมคิดว่ามีหน่วยกิตเท่าไหร่ลงเต็มทุกหน่วยกิต ตั้งใจว่าเอาให้คุ้ม พอมาถึงคาบแรกอาจารย์แจก paper พร้อมให้เขียนวิเคราะห์ พอเปิดมา!!! อ่านแทบไม่รู้เรื่องเลย ตรงนี้ต้องบอกเลยว่าคนไทยอย่างเราเป็นรองมาก เพื่อนๆ ชาวอินเดียเขาได้ภาษาอังกฤษกันอยู่แล้ว และเขายังขยันยกมือถามตอบกับอาจารย์ ส่วนเพื่อนคนจีนก็มี textbook หลายเล่มที่แปลเป็นภาษาจีนเสร็จสรรพให้อ่าน

มาถึงจุดนี้ผมมองว่าเราต้องสู้เขาให้ได้ หากเพื่อนผมขยัน ผมต้องขยันมากให้มากกว่าเขา ต้องรู้จักกล้าคิดกล้าถามให้มากขึ้น และใช้ประโยชน์จากผู้ช่วยสอน (TA) ให้มากที่สุด

จากนั้นมาอยู่ที่ซิลิคอนวัลเลย์ได้อย่างไรครับ

โปรแกรมที่ผมศึกษาต้องเรียนทั้งที่แคมปัสหลักที่ Pittsburgh และแคมปัสที่ Silicon Valley ตอนก่อนเรียนจบผมมีโอกาสได้เข้าไปฝึกงานกับ AdsOptimal สตาร์ตอัพเชื้อชาติไทย ของคุณแบดด์ (ปรัชญา) และนี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใน Silicon Valley ของผม

ในระหว่างที่เรียนอยู่ ทางมหาวิทยาลัยจะมีกิจกรรมเหมือนกับ Job Fair บ้านเรา คือให้บริษัทต่างๆ เข้ามาคัดนักศึกษาเพื่อรับเข้าทำงาน ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่สัมภาษณ์งาน (หลายที่มาก) จนกระทั่งได้ offer มาก่อนที่จะเรียนจบประมาณครึ่งปี หลังจากเรียนจบก็เริ่มทำงานเลยครับ ปัจจุบันผมทำงานที่บริษัท Turn Inc. ในตำแหน่ง Software Engineer ครับ

ผมรู้สึกโชคดีมากที่ก่อนไปเรียนต่อปริญญาโท ผมเลือกไปเรียนภาษาจีนที่เซี่ยงไฮ้เป็นเวลา 4 เดือน เพราะรู้ว่ามาอยู่อเมริกาแล้วต้องเจอคนจีนเยอะ และพอได้เข้ามาทำงานจริงๆ ก็พบว่าเพื่อนที่ทำงานพูดภาษาจีนได้กันถึง 80% เลยครับ ถ้าถามว่ามันจำเป็นไหมที่เราจะต้องพูดได้ สำหรับตัวเนื้องานไม่จำเป็นครับ แต่มันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานมากกว่าครับ

หลายคนอาจไม่รู้จัก Turn อยากให้แนะนำองค์กรว่าทำธุรกิจอะไรบ้าง มีผลิตภัณฑ์อะไร

Turn Inc. เป็นบริษัทในอุตสาหกรรม Ad Tech (สื่อโฆษณาออนไลน์) มีผลิตภัณฑ์เป็น digital marketing platform ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถวิเคราะห์ วางแผน ตั้งงบประมาณ และจัดการป้อนโฆษณาผ่านทางระบบ real-time bidding (RTB) ที่ใช้กันเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน

พูดง่ายๆ คือเว็บไซต์ส่งข้อมูลผู้เยี่ยมชมให้กับคนกลาง เพื่อให้คนกลางถามบริษัทโฆษณาอย่างผมว่า ต้องการประมูลพื้นที่โฆษณาในเว็บไซต์ของเขาไหม
หากต้องการประมูลก็ให้ส่งราคาและตัวโฆษณากลับมายังคนกลาง เพื่อจะได้เลือกโฆษณาไปแสดงบนหน้าเว็บไซต์ดังกล่าว กระบวนการทั้งหมดที่ว่านี้เกินขึ้นภายใน 10 มิลลิวินาที โดยโฆษณาที่ปรากฏจะตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด ณ เวลานั้น

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเคยเข้าเว็บร้านค้าเพื่อซื้อจักรยาน แต่เรายังไม่ซื้อ พอเราไปเข้าเว็บอื่น ก็จะเจอโฆษณาของจักรยานตามมาหลอกหลอน บางคนอาจรู้สึกรำคาญกับโฆษณาเหล่านี้ แต่ผมกลับมองว่ามันสามารถเสนอทางเลือกให้เราได้มากขึ้น และยังเตือนความจำให้กับเราอีกด้วย

ความท้าทายในแง่วิศวกรรมมีทั้งเรื่องความเร็วของการคัดเลือกโฆษณาตามที่กล่าวไปแล้ว และมีเรื่องปริมาณโฆษณาด้วย เพราะระบบ RTB ของบริษัทต้องประมวลผลคำสั่งนี้มากกว่า 2 ล้านครั้งต่อวินาที ครอบคลุมผู้ใช้ทั่วโลก ระบบไอทีจึงต้องพร้อมมาก

งานที่ทำอยู่ในบริษัท Turn ตอนนี้ทำอะไรครับ

ทีมของผมทำผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ Audience Suite มีหน้าที่เก็บและจัดการข้อมูลของผู้ชมเว็บไซต์ เพื่อเอาไปวิเคราะห์และจัดประเภทผู้ชมว่าคนๆ นี้มี profile เป็นอย่างไร เหมาะสมกับโฆษณาแบบไหนในระบบของเรา แล้วส่งต่อข้อมูลนี้ไปให้ระบบ RTB ครับ

ประสบการณ์การทำงานในสหรัฐ พบว่าวัฒนธรรมการทำงานแตกต่างกับเมืองไทยมากน้อยแค่ไหน

ต่างกันมากครับ ผมจะแยกออกเป็นข้อๆ เพื่อให้อ่านง่ายขึ้นนะครับ

กระบวนการสมัครงาน

ที่นี่การสมัครงานมักเริ่มต้นจาก LinkedIn โดยฝ่ายบุคคลของแต่ละบริษัทจะติดต่อเราผ่านทาง LinkedIn เริ่มต้นจากมาขอนัดวันโทรคุย, คุยกับ recruiter, recruiter ส่งประวัติให้ทีมต่างๆ ในบริษัท หากมีทีมใดสนใจก็เข้ากระบวนการสัมภาษณ์ โดยการสัมภาษณ์ก็ยังแบ่งเป็น Technical Phone Interview และ Onsite Interview หลังจากนั้นเราจะได้รับผลว่าผ่านหรือไม่ผ่านครับ ถ้าเป็นบริษัทสตาร์ตอัพก็รอไม่นาน แต่ถ้าหากเป็นบริษัทใหญ่อาจต้องรอถึง 2 สัปดาห์

ระบบการทำงาน

บริษัททำงานกันแบบ Agile คือแบ่งเวลาเป็น 2-week sprint, ประชุม stand up วันละ 5-10 นาทีทุกเช้าเพื่อ sync up ระหว่างเพื่อนในทีม, ประเมินงานโดยให้คะแนนตามระดับความยากในแต่ละ task ทุกต้น sprint เพื่อเอามาวางแผน, และประชุม retrospective เพื่อประเมินว่า sprint ที่แล้วมีส่วนไหนที่ทีมเราทำได้ดี ควรจะยกย่อง และส่วนไหนที่ทำไม่ดี ควรจะมอบหมายให้ใครเอาไปปรับปรุงได้บ้าง

ข้อดีของการทำงานลักษณะนี้มันผลักดันให้เรา active ตลอดเวลา รวมถึงส่งเสริมการร่วมมือ ระหว่างเพื่อนในทีมและนอกทีมด้วย ส่วนข้อเสียคือเสียเวลาการทำงานไปกับการประชุมอยู่บ้าง

นอกจากนี้ยังมีการประชุมที่เรียกว่า brown bag session คือใช้เวลาตอนเที่ยงกินข้าวไปฟังไป ซึ่งการประชุมลักษณะนี้มักเป็นการแบ่งปันความรู้ (เช่น tech talk หรือ demo งาน) แบบสบายๆ ไม่เครียด ส่วนที่มาของคำว่า brown bag คือเวลาเราไปซื้ออาหาร ที่ร้านเค้าจะใส่ถุงสีน้ำตาลมาให้เราครับ

การประชุมอีกแบบหนึ่งเรียกว่า dogfooding session คือการขอให้ทุกคน (ไม่ใช่แค่ QA) เสียสละเวลาส่วนตัวมาช่วยกันใช้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองในช่วง alpha/beta ครับ จุดประสงค์คือให้ช่วยกันหาบั๊กหรือเสนอแนะสิ่งที่ควรปรับปรุงก่อนปล่อยให้ลูกค้าใช้งานจริง ที่มาของคำนี้มาจากการเปรียบเทียบกับบริษัทที่ผลิตอาหารสุนัข พนักงานก็ควรทดลองชิมอาหารที่บริษัทผลิตก่อนขายให้สุนัขทาน

สังคมการทำงาน

ส่วนนี้แตกต่างจากที่ไทยมากหน่อย เพราะคนที่นี่กลับบ้านกันเร็ว ให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก ไม่ค่อยมีการสังสรรค์หลังเลิกงาน หรือแม้แต่วันหยุดก็ไม่ค่อยไปเที่ยวด้วยกัน ต่างจากที่ไทย มีกินข้าวดูหนังเที่ยวต่างจังหวัดกันเป็นประจำ

ผลประโยชน์

การทำงานที่นี่เป็น flexible hours คือมาทำงานกี่โมงก็ได้ แต่ขอให้งานเสร็จ รวมถึงมี unlimited time off ซึ่งอาจน่าอิจฉาสำหรับคนไทยที่ได้อ่านมาถึงจุดนี้ แต่สำหรับผมมันเป็นดาบสองคมครับ เพราะในทางกลับกัน แปลว่าเราทำงานไม่มีวันหยุดเช่นกัน เพราะตอนเราลางานก็จะกังวลถึงงานที่ยังทำไม่เสร็จ มันทำให้เรารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบงานสูงขึ้นจนต้องทำงานดึกๆ เพื่อให้ความคืบหน้าของงานยังเป็นไปตามแผนเดิม ไม่เป็นตัวถ่วงให้กับทีม แต่ก็เหมาะสำหรับพนักงานต่างชาติอย่างเราที่จะมีโอกาสกลับไปประเทศได้บ้างตามความเหมาะสม

บริษัทผมมีอาหารฟรีทุกวัน แทบทุกมื้อ ผมมองว่าตรงนี้เป็นผลดีกับตัวบริษัทเอง เพราะพนักงานไม่ต้องเสียเวลาออกไปหาอาหารทาน และสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เป็นจุดที่บริษัทในไทยน่าลองเอาไปพิจารณานะครับ

นอกจากนี้บริษัทยังใส่ใจกับสุขภาพของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นยิม จักรยาน หรือแม้กระทั่งโต้ะ เก้าอี้ที่ใช้ในสำนักงาน ก็ยังมีให้พนักงานทดลองนั่งและโหวตก่อนสั่งซื้อด้วยครับ

ส่วนเรื่องค่าตอบแทนก็สูงจริงตามที่หลายคนรู้กัน แต่อย่าลืมคิดเรื่องภาษีและค่าครองชีพด้วยนะครับ

ไหนๆ พูดเรื่องภาษีแล้ว อยากให้อธิบายข้อมูลการเสียภาษีในสหรัฐอเมริกาสักหน่อยครับ

ภาษีรายได้ (income tax) ในอเมริกาแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ federal income tax (ภาษีส่วนกลาง) และ state income tax (ภาษีของแต่ละรัฐ)

ผู้มีรายได้ต้องจ่ายส่วน federal ในอัตราขั้นบันไดที่เท่ากันทุกรัฐ แต่ส่วน state จะขึ้นกับที่รัฐนั้นกำหนด ซึ่งรัฐแคลิฟอร์เนียที่ผมอยู่นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐที่ค่าครองชีพสูง ภาษีส่วนนี้แพงกว่ารัฐอื่นมาก ในขณะที่รัฐวอชิงตันกลับไม่มี state income tax ทำให้บริษัทไอทีหลายแห่งจึงนิยมไปตั้งออฟฟิศที่เมือง Seattle

ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ คนทำงานไอทีใน Silicon Valley ต้องเสียภาษี federal income tax อย่างน้อย 28% และเสียภาษี California income tax อย่างน้อย 10% นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายส่วนอื่นที่ต้องโดนหักด้วย เช่น ประกันสังคม

เรื่องการลดหย่อนภาษี ที่นี่ยังมีการแบ่งประเภทว่าผู้เสียภาษีถือว่าเป็นคนที่ "อยู่อาศัย" ที่นี่หรือไม่ (resident หรือ non-resident) ข้อแตกต่างอยู่ที่จำนวนเงินที่เราสามารถหักรายได้ก่อนเอามาคำนวณภาษีครับ และมีส่วนที่คล้ายกับ LTF/RMF ของบ้านเรา (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) ที่นี่เรียกว่ากองทุน 401k และ IRA ครับ ซึ่งเอามาคำนวณลดหย่อนได้เช่นกัน

สำหรับคนไทยที่ถือวีซ่านักเรียน (F-1) จะมีสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มบ้าง เพราะอเมริกาทำสนธิสัญญาเรื่องภาษีกับหลายประเทศ กรณีของคนไทยไทยจะมีสิทธิหักรายได้ก่อนคำนวณภาษีจำนวนหนึ่ง แต่ได้เฉพาะ 5 ปีแรกที่เข้ามาอาศัยในอเมริกา ที่พูดถึงตรงนี้เพราะหลังเรียนจบ นักเรียนไทยจะมีสิทธิทำงานในอเมริกาได้อีก 12 เดือน (Optional Practical Training - OPT) แต่ถ้าเป็นสายเทคโนโลยี (STEM) จะสามารถยืดเวลาได้เพิ่มอีก 17 เดือน รวมเป็น 29 เดือน โดยยังใช้วีซ่านักเรียนของเดิม แต่เมื่อนักเรียนคนนั้นได้วีซ่าทำงาน (H-1B) จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นอีกเยอะพอสมควร เพราะถือว่าคุณเป็นคนทำงานเต็มตัวแล้ว

เนื่องจากอเมริกามีอัตราภาษีที่ค่อนข้างสูง เรื่องการขอคืนภาษีหรือ tax return เลยซับซ้อนและสำคัญมาก คนที่นี่จึงนิยมซื้อโปรแกรมช่วยทำภาษีหรือไม่ก็จ้างคนช่วยทำให้ เพราะการทำภาษีต้องคำนวณปัจจัยหลายอย่าง และมีข้อยกเว้นเต็มไปหมด

ค่าใช้จ่ายที่สำคัญอีกอย่างสำหรับชาว Silicon Valley คือค่าเช่าบ้านครับ เพราะค่าบ้านของเขตนี้สูงติดอันดับต้นๆ ในอเมริกาเลย ดังที่บางท่านอาจเคยเห็นข่าวชาวเมือง San Francisco บางคนรวมตัวกันประท้วงบริษัทไอที หรือเกลียดคนทำงานสายไอทีเพราะมีส่วนที่ทำให้ค่าเช่าบ้านสูงขึ้น ดังนั้นคนที่มาทำงานที่นี่บางคน เมื่อมีหน้าที่การงานพร้อมวีซ่าที่มั่นคงเลยนิยมซื้อบ้าน แม้ว่ามูลค่าจะสูงมาก แต่ก็คุ้มกว่าการจ่ายค่าเช่าบ้าน แต่ไม่ได้ทรัพย์สินอะไร แถมการซื้อบ้านยังช่วยให้เราลดภาษีได้อีกเยอะเลย

เนื่องจากเคยสัมภาษณ์งานมาเยอะ มีอะไรอยากแชร์เรื่องกระบวนการสัมภาษณ์บ้างไหมครับ?

ตอนอยู่มหาวิทยาลัย ผมก็เริ่มหาทางติดต่อ recruiter ด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร่วมกิจกรรม career fair, สมัครงานในระบบ career service ของมหาวิทยาลัย, ให้เพื่อนที่ทำงานในบริษัทแต่ละแห่ง reference ให้ หรือพยายามอัพเดต LinkedIn เสมอๆ

หลังจาก recruiter ติดต่อเรามาแล้ว กระบวนการแตกต่างกันไปตามแต่ละบริษัท แบ่งคร่าวๆ ได้ 4 ประเภทครับ

  1. โทรมาคุย สัมภาษณ์ประสบการณ์การทำงานของเรา ถามว่าทำไมเราถึงสนใจบริษัทของเขา รวมถึงตำแหน่งงานที่บริษัทเปิดรับอยู่ หลังจากนั้นค่อยนัดวัน technical phone interview เป็นการสัมภาษณ์พร้อมเขียนโค้ดไปด้วย หรือทดสอบผ่านบริการ online collaboration ต่างๆ ยกตัวอย่างที่นิยม Collabedit, Codepair และ Google Docs ส่วนใหญ่แล้วเรามักต้องผ่าน phone interview ประมาณ 1-2 รอบ
  2. คุยกันในอีเมล แล้วนัด technical phone interview กันเลย
  3. บริษัทจะส่ง technical challenge เป็นโจทย์หรือโปรเจ็กต์เล็กๆ มาให้เราทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด
  4. ถ้าเราอยู่ใกล้ออฟฟิศของเขา เขาโทรมาคุยก่อน แล้วนัดไปสัมภาษณ์รอบแรกที่นั่นเลยครับ

การสัมภาษณ์รอบ technical phone interview ถ้าเป็นบริษัทเล็กมักรู้ผลภายในวันเดียวกันเลย แต่ถ้าบริษัทใหญ่อาจต้องรอประมาณหนึ่งสัปดาห์

หลังจากผ่าน phone interview แล้ว recruiter จะนัดสัมภาณ์ on site interview ไปคุยที่บริษัท ซึ่งมักกินเวลาทั้งวัน กระบวนการประกอบด้วยการสัมภาษณ์ตัวต่อตัวกับ engineer หรือ manager ซึ่งอาจมีถึง 3-5 รอบ รอบละ 45-60 นาที พร้อมกินข้าวเที่ยงและพาทัวร์ในบริษัทไปด้วยเลย เพื่อให้เราได้เห็นบรรยากาศการทำงาน และอาจได้ทำความรู้จักกับ engineer ในบริษัทนั้นด้วย

หลังจากสัมภาษณ์ on site เสร็จแล้วก็ต้องรอฟังผลครับ บางที่ก็รู้ผลเย็นวันนั้นเลย บางที่ก็รอเกือบสัปดาห์ แต่ถ้าบริษัทใหญ่มากอาจต้องรอถึง 2 สัปดาห์

ถ้ามีคำแนะนำให้น้องๆ รุ่นหลังที่อยากมาทำงานด้านเกี่ยวกับไอทีในสหรัฐ มีอะไรบ้าง

เรื่องภาษาเป็นสิ่งสำคัญมาก ในกรณีที่มาเรียนต่อที่อเมริกาก่อนสมัครงาน อย่าคิดว่าจะสอบ TOEFL หรือ GRE เพียงเพื่อให้ได้เข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น เพราะเป็นสิ่งจำเป็นมากในการเรียน และถ้าเป็นไปได้ก็แนะนำเรียนภาษาจีนครับ เพราะคนจีนทำงานสายไอทีมีเยอะจริงๆ

ประเด็นเรื่องการมาเรียนต่อก่อนสมัครงาน ค่อนข้างจำเป็นเพราะบริษัทที่นี่สนใจเด็กที่จบที่อเมริกามากกว่า สาเหตุหนึ่งคือบริษัทรู้จักชื่อมหาวิทยาลัยดีอยู่แล้ว
ทำให้มีโอกาสถูกเรียกมาสัมภาษณ์มากขึ้น สาเหตุที่สองคือเรื่องวีซ่า เพราะนักเรียนที่เรียนสาย STEM (Science, Technology, Engineering and Mathematics) จะมีสิทธิทำงานต่อหลังเรียนจบโดยไม่ต้องขอวีซ่าเพิ่มเติมได้สูงสุด 2 ปีกว่า

แต่เรื่องการจบอเมริกาก็ไม่ใช่เกณฑ์ตายตัวเสมอไป เพราะผมก็เห็นหลายคนสามารถมาทำงานที่อเมริกาโดยไม่ต้องจบที่อเมริกาอีกเหมือนกัน มีวิธีสร้าง profile หลายอย่างให้บริษัทสนใจเรา เช่น ร่วมเขียนโค้ดบน GitHub ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่ส่งผลให้ recruiter ติดต่อขอสัมภาษณ์งานเรา ช่วงนี้อุตสาหกรรมไอทีในอเมริกาต้องการคนมาก ถือเป็นช่วงเวลาทองของคนทำงานสายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ครับ

Blognone Jobs Premium