ปีนี้ ซัมซุงเปิดตัว Galaxy Note 5 ซึ่งไม่มีอะไรผิดไปจากความคาดหมายนัก เจ้า Note 5 ใช้ดีไซน์และรูปลักษณ์ตามแบบของ Galaxy S6 (ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่ของซัมซุง) แต่เพิ่มปากกา S Pen ที่เป็นจุดเด่นของซีรีส์ Galaxy Note ตลอดมา
จากที่ผมคุยกับคนในแวดวงหลายๆ คนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตลาดไทยนั้น "Galaxy Note ขายดีกว่า Galaxy S" ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนั้นผมเชื่อว่าหลายคนที่สนใจ Galaxy S6 อาจเลือกที่จะรอ Galaxy Note 5 แทน และตอนนี้เมื่อ Note 5 เปิดตัวแล้วก็ได้เวลารีวิวครับ (ภาพเยอะมากตามเคย)
เดิมทีนั้นมือถือตระกูล Galaxy Note ของซัมซุงถูกวางตัวไว้ในสถานะ "เรือธงครึ่งหลังของปี" คู่กับตระกูล Galaxy S ที่เป็นเรือธงประจำครึ่งแรกของทุกปี จุดต่างของ Note กับ S แบ่งออกได้ 3 ประการหลักคือ
มาถึงปี 2015 ซัมซุงเลือกใช้ยุทธศาสตร์ที่ต่างออกไปจากที่แล้วมา โดย Galaxy Note 5 ที่ออกตามหลัง Galaxy S6 ประมาณ 5 เดือน (ช่วงเวลาระหว่างรุ่นลดลงเล็กน้อย) กลับใช้ฮาร์ดแวร์เหมือนกับ S6 แทบจะทุกประการ ดังตารางด้านล่าง
จากตารางจะเห็นว่า สเปกของ Note 5 กับ S6 เหมือนกันแทบทุกประการ จุดต่างหลักๆ ในแง่สเปกคือ
ในแง่สเปกโดยรวมแล้ว พื้นฐานของ S6 กับ Note 5 แทบไม่ต่างกัน ฟีเจอร์ด้านฮาร์ดแวร์อย่างอื่น เช่น ตัวสแกนลายนิ้วมือ, ตัววัดอัตราการเต้นหัวใจ NFC, ที่รองรับ Samsung Pay มีเหมือนกันหมด รวมถึงประเด็นเรื่องฝาหลังถอดไม่ได้, เปลี่ยนแบตเองไม่ได้, เสียบ microSD ไม่ได้, ใช้นาโนซิมแบบถาด พวกนี้เหมือนกันทุกประการ
นอกจากมือถือสองตัวนี้แล้ว ปีนี้ซัมซุงยังมีมือถือที่ใช้พื้นฐานเดียวกันอีกสองรุ่นคือ S6 edge และ S6 edge+ ด้วย มือถือทั้งสี่ตัวมีความใกล้เคียงกันมากในระดับที่ผมขอเรียกว่า Galaxy S6 Family หรือ Galaxy S6 Platform
ความแตกต่างของสี่พี่น้องมีดังนี้
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ด้วยยุทธศาสตร์ของซัมซุงปี 2015 ทำให้พรมแดนความแตกต่างระหว่างซีรีส์ S กับ Note ที่แล้วๆ เริ่มจางหายไป จากเดิมที่ Note มีความแตกต่างจาก S อยู่สามประการคือปากกา หน้าจอ สเปก จึงลดลงมาเหลือแค่เรื่องปากกาเป็นหลักเพียงอย่างเดียว (ส่วนหน้าจอใหญ่ขึ้นจริง แต่ไม่ใช่ Note 5 รุ่นเดียวที่จอใหญ่ขึ้นจาก S6 ส่วนเรื่องการเลือกขายระหว่าง Note 5 กับ S6 edge+ ในแต่ละประเทศ อันนี้ก็ไม่เข้าใจซัมซุงเหมือนกัน)
เหตุผลหลักๆ ในการเลือกซื้อ Galaxy Note 5 แทนที่จะเป็นพี่น้องคนอื่นๆ ใน S6 Platform จึงเหลือแค่ปัจจัยว่า "ใช้ปากกาหรือไม่" ส่วนปัจจัยเรื่องสเปกคงมีความสำคัญน้อยลงไป
เมื่อต้นปี 2015 การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ของ Galaxy S6 ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับฐานรากของซัมซุงก็ว่าได้ ดีไซน์ของ S6 ฉีกแนวจากมือถือรุ่นก่อนๆ ที่เคยมีมา ในภาพรวมแล้วมันหรูหราขึ้นมาก แต่ก็ต้องแลกด้วยฟีเจอร์บางอย่างที่หายไป เช่น แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนไม่ได้ และใส่ microSD เพิ่มไม่ได้
พอมาถึงรอบของ Note 5 ซัมซุงกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงดีไซน์ของตัวเครื่องให้ฉีกแนวไปจาก S6 มากนัก (ตามแนวคิดเรื่อง S6 Platform ที่อธิบายไปแล้วข้างต้น) ดีไซน์ภายนอกของ Note 5 แทบจะยกหน้าตาและวัสดุโลหะของ S6 มาทั้งหมด ถ้าหยิบเครื่องมาให้ดูแบบเผินๆ แล้วอาจแยกไม่ออกว่าต่างกันอย่างไรด้วยซ้ำ
ถ้าไม่นับเรื่องปากกาแล้ว จุดที่พอจะสังเกตความแตกต่างระหว่าง S6 กับ Note 5 คงเป็นขอบด้านหลังเครื่องที่โค้งมน แทนขอบแบนราบแบบ S6 ตรงนี้ช่วยให้จับได้กระชับมือมากขึ้นครับ
แนวทางการออกแบบของทั้ง S6 และ Note 5 เน้นความหรูหรา ใช้วัสดุโลหะมันวาว (this shiny object!) ซึ่งดูดีมีราคา แต่มันก็มีข้อเสียในมุมกลับคือเป็นรอยนิ้วมือง่ายมากๆ และการใช้งานอาจไม่สมบุกสมบันได้มากนัก จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรต้องหาเคสมาใส่กันรอย
Galaxy Note 5 มีให้เลือกทั้งหมด 4 สีคือ ดำ ขาว เงิน ทอง แต่รุ่นที่วางขายในเมืองไทยตอนนี้ยังมีเฉพาะเงินและทองครับ (สีดำเข้าเดือนตุลาคม สีขาวยังไม่มีแผน)
แนวทางการเลือกสีของซัมซุงปีนี้มีสีพื้นฐานคือ ดำ ขาว ทอง เหมือนกันในทุกรุ่นย่อยของ S6 Platform และแต่ละรุ่นจะมีสีพิเศษเฉพาะของรุ่นนั้น ได้แก่ น้ำเงิน (S6) เขียว (S6 edge) ส่วนกรณีของ Note 5 คือสีเงินนี่เอง
เพื่อให้เห็นพัฒนาการของ Note 5 เราลองมาดูรูปเปรียบเทียบกับรุ่นพี่ Note 4 กันบ้าง ถ้าเอามาวางเทียบกันแล้วจะเห็นว่า Note 5 มีขนาดผอมและเตี้ยกว่า Note 4 เล็กน้อย (ที่ขนาดหน้าจอ 5.7" ความละเอียด 2560x1440 เท่ากัน)
ความเตี้ยของเครื่องอาจต่างกันนิดเดียว แต่ความผอมของเครื่องเห็นความแตกต่างชัดเจน โดยรวมแล้ว Note 5 มีสัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องทั้งหมดเยอะกว่า Note 4 (จอเท่ากัน เครื่องเล็กลง) แต่ในการใช้งานจริงก็ไม่ใช่ประเด็นอะไรมากมายนัก
ปากกา S Pen ของ Note 5 จะยาวกว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย เพราะตรงหัวปากกาสามารถกดแล้วเด้งได้เหมือนปากกาลูกลื่น ในขณะที่ปากกาของ Note 4 เป็นแท่งแข็งๆ ขยับอะไรไม่ได้เลย
พื้นฐานซอฟต์แวร์ของ Galaxy Note 5 ก็เหมือน Galaxy S6 แทบจะทุกประการครับ คงไม่ลงรายละเอียดมากนัก ย้อนไปอ่านได้ใน รีวิว Galaxy S6 และ S6 edge ในที่นี้จะเล่าเฉพาะจุดสำคัญเท่านั้น
หน้าโฮมของ Note 5 ค่าดีฟอลต์มีมาให้สองหน้าจอ (บวกอีกหนึ่งหน้าจอ Flipboard/My Magazine ที่ปิดได้) รูปแบบของไอคอนอาจต่างไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วสะอาดสะอ้าน ไม่รกรุงรัง
หน้าจอแอพก็มีเพียงแค่ 2 จอ แอพพื้นฐานมีให้ครบถ้วน แอพที่พรีโหลดมีของซัมซุงนิดหน่อย (พวก Galaxy Apps, Galaxy Gift, Galaxy Rewards) ส่วนแอพที่ไม่ใช่ของซัมซุงทำเองมี
ระบบปฏิบัติการเป็น Android 5.1.1 รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อม KNOX เวอร์ชัน 2.5
ลองเปิดแอพ Smart Manager พบว่าค่าดีฟอลต์ใช้พื้นที่ไปประมาณ 25% และกินแรมประมาณ 48% (อัตราการใช้แรมอาจแปรผันตามแอพที่เปิดอยู่ด้วย)
ฟีเจอร์ด้านซอฟต์แวร์อื่นๆ เช่น การเปลี่ยนธีม, motion gesture, Easy Mode, การปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือ เท่าที่ลองเล่นดูเหมือน S6 ทุกประการ คงไม่ต้องเขียนถึงซ้ำนะครับ
จุดขายสำคัญของ Galaxy Note คือปากกา S Pen ดังนั้นไม่กล่าวถึงคงจะไม่ได้ สำหรับ S Pen ของ Galaxy Note 5 มีจุดต่างไปจาก S Pen ของ Note 4 ไม่เยอะนัก
ฝั่งของฮาร์ดแวร์ก็อย่างที่กล่าวไปแล้วคือกดแล้วมีสปริงเด้งได้ อันนี้แปลกดี ลองใช้แล้วพบว่าไม่ต่างอะไรกับ S Pen แบบเด้งไม่ได้สักเท่าไรนัก (คือมีหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น)
หน้าจอ Air Command ที่จะโผล่ขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อดึงปากกา ถูกออกแบบให้สะอาดตาขึ้น เข้าถึงฟังก์ชันหลักได้ 4 อย่าง (เพิ่มช็อตคัตเองได้)
ฟีเจอร์เล็กๆ ที่เพิ่มเข้ามาคือเขียนหน้าจอได้ แม้ว่าเครื่องปลดล็อคอยู่ (ตัวเลือกนี้ไม่เปิดมาให้โดยดีฟอลต์) เราสามารถดึงปากกาออกมาแล้วเขียนลงหน้าจอได้เลย ตอนที่เขียนจะเป็นตัวหนังสือสีขาวพื้นสีดำ แต่เมื่อเขียนเสร็จแล้วเซฟ ปลดล็อคหน้าจอ มันจะไปอยู่ใน Action memo โดยกลับมาใช้สีพื้นตามปกติของแอพ
แอพ S Note ถูกออกแบบให้สะอาด แบนราบมากขึ้น ส่วนฟีเจอร์ Smart select เพิ่มความสามารถจับภาพหน้าจอทั้งหมด (ทั้งเว็บเพจตั้งแต่หัวจรดท้าย เหมือนกับแอพจับภาพหน้าจอบางตัว) โดยผู้ใช้ต้องกดปุ่ม Capture more ทีละหน้าจอไปเรื่อยๆ เมื่อได้ครบตามที่ต้องการแล้วกด Done
สรุปว่า S Pen เวอร์ชันใหม่ดีขึ้นกว่าเดิมในหลายจุด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ในภาพรวมแล้วคงไม่ต่างจาก S Pen ของ Note 4 เท่าไรนัก
Samsung SideSync เป็นฟีเจอร์ที่มีมานานมาแล้วเช่นกัน เป้าหมายของมันคือเชื่อมต่อการทำงานระหว่างสมาร์ทโฟนกับพีซีให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โอนถ่ายไฟล์ระหว่างกันสะดวกขึ้น รวมถึงแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ ของสมาร์ทโฟนบนพีซีด้วย
Galaxy Note 5 มาพร้อมกับ SideSync 4.0 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ของใหม่คือรองรับ OS X, ปรับหน้าตาให้สะอาดขึ้น, ซิงก์อัตโนมัติผ่าน Wi-Fi, ปรับปรุงความเร็วของการโอนถ่ายไฟล์มากขึ้น
เท่าที่ลองใช้ดูก็พบว่าหน้าตาดูสวยขึ้น และดูไม่ค่อยขัดๆ ระหว่างการใช้งานเหมือนรุ่นก่อนๆ ครับ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้อาจไม่ใช่ฟีเจอร์กระแสหลักที่ทุกคนต้องใช้งาน (มีไว้ก็ดี อาจได้ใช้บ้าง แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้งานมือถือตลอดเวลา ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเปิดค้างไว้)
ฟีเจอร์ใหม่อย่างหนึ่งของ Note 5 คือ Fast Wireless Charging ชาร์จไฟแบบไร้สายได้เร็วกว่าเดิม (ถึงแม้จะไม่เร็วเท่ากับ Fast Charging แบบมีสาย) ซึ่งต้องใช้คู่กับอุปกรณ์เสริมเป็นแท่นชาร์จรุ่นใหม่ที่ขายแยกต่างหาก
ตอนวางมือถือบนแท่นชาร์จก็จะมีแอนิเมชันให้รู้สึกว่า กำลังชาร์จพลัง ออร่าลุกโชน
แถมมีตัวเลขระยะเวลาบอกบนจอด้วยว่า ชาร์จแล้วอีกนานเท่าไรจะเต็ม (เนื่องจากเราไม่มีอุปกรณ์แท่นชาร์จไร้สายรุ่นก่อนมาชาร์จเทียบ เลยบอกไม่ได้ว่าเร็วขึ้นแค่ไหนนะครับ)
อุปกรณ์ในกล่อง มีสายชาร์จแบบ Fast Charge มาตรฐาน, หูฟังพร้อมกล่องใส่ (พัฒนาขึ้นจากเดิมตรงมีกล่องใส่) และอุปกรณ์ช่วยจิ้มถาดซิม
ส่วนอุปกรณ์เสริมที่หยิบยืมมาได้จากซัมซุงประเทศไทยคือ เคสแบบฝาพับ (Flip Case) มาตรฐาน เป็นเคสใสที่มีฝาปิดโปร่งแสง พับฝาแล้วขึ้นตัวเลขนาฬิกาบอกได้
เนื่องจากกล้องของ Note 5 แทบไม่ต่างอะไรจากกล้องของ S6 ตรงนี้คงไม่ขอรีวิวละเอียดเช่นกันครับ
ดูรูปเทียบระหว่างกล้องของ Note 4 (ซ้าย) และ Note 5 (ขวา) ได้ด้านล่าง ทั้งหมดถ่ายด้วยโหมด Auto คลิกเพื่อดูภาพความละเอียดเต็มได้
ฟีเจอร์ใหม่ด้านกล้องของ Note 5 ที่โชว์ในงานเปิดตัวคือการถ่ายวิดีโอแล้วสตรีมสดขึ้น YouTube Live Streaming ซึ่งซัมซุงไปทำดีลกับกูเกิลไว้
วิธีการใช้งานคือเข้าแอพกล้องแล้วเลือกโหมดเป็น Live Broadcast ที่แยกจากการถ่ายวิดีโอแบบปกติครับ การเปิดใช้ครั้งแรกจะยุ่งยากพอสมควร เพราะต้องล็อกอินบัญชี YouTube จากหน้ากล้องก่อน (ถ้าเปิด 2-step verification ไว้ก็ต้องใส่โค้ดด้วย), ตกลงตามเงื่อนไขการใช้งาน และถ้าบัญชี YouTube ของเราไม่เคยยืนยันตัวตนมาก่อน จะใช้โหมด Live ไม่ได้ ก็ต้องยืนยันตัวตนด้วยโค้ดจาก SMS อีกรอบ
เมื่อผ่านขั้นตอนยุ่งยากทั้งหลายมาแล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องง่าย เราก็กดถ่ายวิดีโอแล้ว invite เพื่อนๆ เข้ามาดูในหน้า YouTube Live ได้เลย และเมื่อถ่ายเสร็จแล้วก็สามารถตั้งค่าให้อัพโหลดวิดีโอขึ้น YouTube อัตโนมัติได้ด้วย
ฟีเจอร์นี้ถือว่าเจ๋งไม่น้อย และเราน่าจะเห็นการถ่ายทอดสดงานอีเวนต์ต่างๆ ด้วยสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นอีกมาก (ข้อดีที่เหนือกว่าแอพพวก Periscope หรือ Meerkat ก็คือมันผูกกับ YouTube โดยตรง สะดวกและคุ้นเคยกว่า) หวังว่าซัมซุงจะตามอัพเดตฟีเจอร์นี้ให้มือถือรุ่นอื่นๆ ด้วยนะครับ
ประเด็นที่ถกเถียงกันเยอะคือ Galaxy Note 5 ไม่สามารถถอดฝาหลัง-ถอดแบตเตอรี่เอง และเสียบ microSD ได้ ซึ่งทำให้กลุ่ม power user ที่ต้องการฟีเจอร์เหล่านี้ (ที่มีในซีรีส์ Note มาตลอด) ไม่พอใจการเปลี่ยนแนวทางของซัมซุงอย่างมาก
ช่วงนี้กำลังฮิตก็ขอเล่นสักหน่อยนะครับ
ประเด็นเรื่องฝาหลังถอดไม่ได้ ถอดแบตเองไม่ได้ รวมถึงเสียบการ์ดหน่วยความจำเองไม่ได้ เป็นสิ่งที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่ Galaxy S6 ว่าซัมซุงจะเลิกฟีเจอร์เหล่านี้ และหันไปทำตามแอปเปิลทำไมกัน พอมาถึงซีรีส์ Note ที่ผู้ใช้กลุ่มโปรใช้กันเยอะ เรื่องนี้เลยยิ่งกลายเป็นประเด็นเข้าไปอีก
ตรงนี้ต้องแยกว่า เรากำลังมีกลุ่มผู้ใช้ที่แยกจากกันชัดเจน คือกลุ่มที่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย และกลุ่มที่มองว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เลือกมือถือของซัมซุง ซึ่งความต้องการของผู้ใช้ทั้งสองกลุ่มสวนทางกันอย่างชัดเจน
ผู้ใช้อย่างเราๆ ไม่รู้สถิติหรือตัวเลขการใช้งานเชิงลึกแบบเดียวกับซัมซุง คงไม่มีใครอธิบายเหตุผลแทนซัมซุงได้ สิ่งที่สามารถบอกได้คงมีเพียงแค่ว่า ซัมซุงเลือกจะเดินหน้าหาผู้ใช้กลุ่มแรก (ที่ไม่สนใจเรื่องถอดแบต-เสียบการ์ด) และทอดทิ้งผู้ใช้กลุ่มหลัง สุดท้ายแล้วยอดขายคงจะบอกเองว่าซัมซุงคิดถูกหรือไม่
โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าการถอดฝาหลัง-ถอดแบต-เสียบการ์ด (รวมถึงการที่ซิมการ์ดเป็นแบบเสียบ ไม่ใช่แบบถาด) เป็นฟีเจอร์ที่ "มีก็ดีนะ" แต่ไม่ถึงขั้น "ไม่มีไม่ได้" ดังนั้นการที่ S6 และ Note 5 เลือกเดินแนวทางนี้คงไม่ใช่ปัญหากับผมมากนัก อย่างไรก็ตาม Blognone เคยมีคอมเมนต์ถกเถียงกันเรื่องนี้หลายครั้ง (ตอนที่ 1, ตอนที่ 2) อันนี้ก็เข้าใจผู้ใช้กลุ่มโปรที่ต้องการฟีเจอร์เหล่านี้อย่างยิ่งยวดเช่นกันนะครับ เพียงแต่ดูท่าทีของซัมซุงแล้ว คงไม่ยกเลิกการตัดสินใจ กลับมาทำแบบเดิมในอนาคตอันใกล้นี้
ทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุดของผู้ใช้ Galaxy Note ที่ต้องการฟีเจอร์ถอดแบต-เสียบการ์ด คงเป็น Galaxy Note 4 ซึ่งเป็นมือถือที่ดีมากๆ ตัวหนึ่ง และเวลาที่ผ่านไปหนึ่งปี ราคาลดลงจากเดิม ยิ่งทำให้มันเป็นมือถือที่คุ้มค่าคุ้มราคาขึ้นอีกมาก
อย่างที่เขียนไปในตอนต้นๆ ว่า Galaxy Note 5 คือ Galaxy S6 เวอร์ชันเพิ่มปากกา แต่จิตวิญญาณของมันยังคงความเป็น Galaxy S6 แทบทุกประการ
Galaxy S6 เป็นมือถือที่ค่อนข้างสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว (ถ้าไม่รวมประเด็นขัดแย้งเรื่องถอดแบต-ใส่การ์ด) การเพิ่มปากกา S Pen ที่พัฒนาต่อเนื่องกันมาหลายปี ทำให้ภาพรวมของ Note 5 เป็นมือถือที่ดีมากๆ ตัวหนึ่ง และหาข้อติได้ยากมาก
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากระยะเวลาที่ทิ้งห่างจาก S6 เกือบครึ่งปี การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เยอะเท่าไรนักของ Note 5 อาจดูน่าผิดหวังอยู่บ้าง โดยเฉพาะถ้านำไปเทียบกับรุ่นพี่ตระกูล Galaxy Note ที่มีความแตกต่างจาก Galaxy S ที่ออกในปีเดียวกันเสมอ
ในภาพรวมแล้ว พัฒนาการของ Note 5 เป็นการปรับปรุงในจุดเล็กจุดน้อยมากมาย ที่ช่วยให้ Note 5 สมบูรณ์ขึ้นกว่าทั้ง S6 (ในแง่สเปก-ดีไซน์-ความสามารถ) และ Note 4 (ในแง่ปากกา) และเป็นมือถือซัมซุงที่ดีที่สุดในปัจจุบันได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ในมุมกลับแล้ว Note 5 กลับขาดจุดขายที่โดดเด่น เปรียบดัง "หมัดน็อค" ปัจจัยชี้ขาดที่จูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อหามาใช้งาน
สุดท้ายแล้ว กลุ่มลูกค้าของ Note 5 คงขึ้นกับว่าผู้ใช้คนนั้นต้องการอะไร
จุดเด่น
จุดด้อย