หลายวันนี้ข่าว Single gateway ได้ชิงพื้นที่จากหน้าสื่อไปพอสมควร ด้วยความที่เป็นประเด็นใหญ่ ซับซ้อน และมีผลกระทบตามมาเป็นจำนวนมาก
ผู้เขียนเชื่อว่า เราๆ ทุกท่าน ไม่ว่าจะสนใจด้านสารสนเทศกันแค่ไหน ล้วนควรจะได้รับข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับ Single gateway จึงเป็นที่มาของบทความชุดนี้ ที่จะอธิบายว่า Single gateway คืออะไรในแบบภาษาชาวบ้าน (ที่อาจไม่รู้เรื่อง Infrastructure ต่างๆ) และผลกระทบที่จะตามมาครับ
นี่คือการเชื่อมต่อเวลาเราต่ออินเทอร์เน็ตครับ (รูปถูกตัดทอนให้เข้าใจง่าย และไม่ตรงความจริงบางส่วนนะครับ) พูดสั้นๆ คือ "ถ้าระบบเน็ตในประเทศเป็นบ้าน Gateway ก็คือประตูที่เอาไว้ให้ข้อมูลทะลุออกไปหาเพื่อนบ้านเราได้" และโดยปกติแล้ว เมื่อเราเข้าเว็บต่างประเทศ ข้อมูลเราเป็นไปได้มากที่จะวิ่งออกไปได้หลายทาง ขึ้นอยู่กับ 1) เราใช้เน็ตของเจ้าไหน (เพราะแต่ละเจ้าอาจทำสัญญาไว้กับ Gateway เฉพาะที่) และ 2) เราเลือกส่งข้อมูล หรือขอข้อมูลอะไร
นี่คือรายชื่อ Gateway ในไทยครับ ถ้าเข้าไปเราจะเห็นได้ว่ามีหลายเจ้าพอสมควร พูดง่ายๆ รายชื่อที่เห็นในหน้านั้น คือรายชื่อผู้ที่ทำหน้าที่ประตูของเราตอนนี้นั่นเอง
แล้วจะเกิดอะไรถ้านโยบาย Single gateway สำเร็จล่ะครับ?
อ่ะ เรามาดูภาพการเชื่อมต่อโน่นนี่ของ Single gateway กันครับ
จะเห็นว่าจากหลายๆ สายที่อาจต่อออกไปได้มาก ตอนนี้มันมาเหลือสายเดียว ก่อนที่กระจายออกไปทีหลังครับ (ถ้าเปรียบด้วย "บ้าน" ก็ให้คิดว่ามีคนเอาไม้มากั้นประตูเหลือบานเดียวครับ)
คำถามคือ อันเดียวแล้วจะทำไม ในเมื่อมันก็ดูสงบดี และนี่คือคำตอบครับ
ณ ปัจจุบัน อ้างอิงจาก NECTEC ในช่วงเดือนสิงหาคมของปีนี้ ประเทศเราจะมีข้อมูลวิ่งผ่านอินเทอร์เน็ตไปต่างประเทศ (ย้ำคำว่าต่างประเทศ ไม่นับประเทศไทยนะครับ) ที่ 1,954,083 Mbps ซึ่งเป็นข้อมูลมหาศาล
หากเราพูดถึงบ้าน Single gateway คือการที่รัฐอุดประตูเก่าๆ ที่ใช้ดีมากมาโดยตลอดจนหมด ทิ้งไว้รูเดียวที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ และเราไม่รู้ว่าประตูนี้จะกว้างแค่ไหน
เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าการควบไปใช้ Single gateway จะรับประกันความเสถียรของข้อมูล? สิ่งที่ตามมาคือความน่าเชื่อถือจากนักลงทุน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยความเสถียรของอินเทอร์เน็ต เป็นหนึ่งในปัจจัยที่นักลงทุนเลือกพิจารณาก่อนลงทุนในประเทศใดๆ
หากภาครัฐเป็นผู้บริหารตัว Gateway ตัวเดียวอันนี้ คิดสถาพว่าถ้ามันพัง (เหมือนประตูบ้านล็อกเสีย เปิดไม่ได้) แล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้ล่ะครับ:
สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่ความเสียหายเพราะสื่อสารไม่ได้ แต่เป็นความน่าเชื่อถือ เป็นเม็ดเงินที่เสียไปจากการลงทุน หรือแม้แต่การเชื่อมต่อกับต่างประเทศของระบบที่สำคัญ เช่นตลาดหุ้น (ตัวอย่างนี้อาจจะดูเกินจริง แต่มันมีโอกาสที่การทำงานแบบราชการไทยจะเป็นแบบนี้นะครับ)
จากคำสั่งของนายกรัฐมนตรี โครงการ Single gateway มีวัตถุประสงค์ "เพื่อใช้เป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูลข่าวสารจากต่างประเทศผ่านทางอินเทอร์เน็ต"
Single gateway จะบีบให้ข้อมูลต้องวิ่งผ่านทางที่รัฐกำหนดซึ่งมีทางเดียว ทำให้รัฐสามารถตรวจค้น แทรกแซง ดักฟังได้ง่ายมาก
ถ้าเป็นประตูบ้านก็คิดสภาพว่าเราจะเข้าออกประตูที เค้าสั่งให้เราแก้ผ้าให้ตรวจก็ได้ ถ่ายรูปเราเก็บไว้ได้ หรือจะห้ามเข้าออกก็ได้แหละครับ
แน่นอนว่าแผนงาน Single gateway มีไว้เพื่อปิดหูปิดตาประชาชนโดยอ้างความมั่นคงของรัฐ (แนะนำให้อ่านบทความของคุณ nrad6949 ประกอบสำหรับรายละเอียดนะครับ) แต่หากเรามองการสื่อสารเป็นผ้าขาว เป็นท่อบริสุทธิ์ ผู้เขียนมองว่าการปิดกั้นความคิดเห็นโดยการปิด "ท่อ" ที่ไม่ได้รู้ประสีประสาอะไรนั้นไม่ใช่เรื่องอันควร
และถึงแม้จะมีความเป็นไปได้น้อย แต่โอกาสที่รัฐจะดักฟังประชาชนก็มีอยู่บ้าง – อันที่จริง รัฐไม่ควรได้สิทธิ์เบ็ดเสร็จในการดักฟังประชาชนแม้แต่น้อย
ถ้าคิดไม่ออกว่าการดักฟังและการปิดกั้นในวงกว้างมีผลอย่างไร ลองคิดสภาพคุณโทรหาแฟนของคุณ แล้ว 1) มีเสียงปลายสายเป็น ลุงแก่ๆ พร้อมเพลงขึ้นมา บอกว่า "การเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวนี้ ถูกระงับเป็นการชั่วคราว โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร" หรือไม่ก็ 2) มีคนแอบฟังคุณตลอดเวลาที่คุณกำลังคุยกับแฟนสิครับ
ตัวอย่างเหล่านี้เป็นตัวอย่างของผลที่อาจตามมาเมื่อเรายอมให้รัฐมีอำนาจดักฟังเต็มรูปแบบ และนโยบาย Single gateway จะเอื้อต่อการดักฟังและปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลอย่างแน่นอน
ตรรกะนี้ถูกยกขึ้นมาบ่อยมาก เราไม่ได้กลัวครับ แค่เรามีความจำเป็นดังนี้
แนะนำให้อ่านข่าวนี้ ซึ่งตอบคำถามนี้ได้ตรงจุดดูครับ
ผู้เขียนมองว่าไม่ได้ครับ (อ้าว)
ประเด็นคือ การทำแผนนี้ให้เป็นจริงต้องทุ่มทั้งเงิน งบประมาณ และกำลังจำนวนมาก ซึ่งแม้จะทำไม่ได้ แต่เงินจำนวนนี้จะสูญไปแบบ "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" อย่างแน่นอน
นอกจากนั้น การจำยอมต่อรัฐต่อความไม่ยุติธรรม หรือสิ่งที่ไม่ถูก ย่อมนำมาสู่การใช้อำนาจในทางที่ผิด ผู้เขียนเชื่อว่าท่านผู้อ่านไม่อยากให้ประเทศของเราเป็นเช่นนั้นนะครับ
ต้องยอมรับครับว่าในสภาพบ้านเมืองปัจจุบันนี้ ถึงการคัดค้านอาจจะทำได้ยาก แต่ผู้เขียนยังเชื่อในอำนาจของภาคประชาชนเสมอ
คุณภูภู่ได้เริ่มรณรงค์ขอรายชื่อผู้ไม่เห็นด้วยบน Change.org เมื่อวานนี้ อย่างน้อยการที่เราลงชื่อแสดงการคัดค้าน อาจจะเป็นทางหนึ่งที่ทำให้รัฐเปิดรับฟังประชาชนมากขึ้นครับ
เราไม่มีทางรู้ครับว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อ แต่ที่แน่ๆ ผู้เขียนเชื่อว่าเราทุกคนสามารถร่วมกันใช้พลังประชาชน กำหนดทิศทางประเทศของเราได้ครับ
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านจนจบ และหากมีข้อท้วงติงอะไรคอมเมนต์ไว้ได้เสมอครับ ขอบคุณครับ