เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Meizu ประเทศไทยจัดงานเปิดตัว Meizu m2 note และทาง Blognone ก็ได้รับเครื่องมาทดสอบและรีวิวก่อนวางจำหน่ายออนไลน์ทาง Lazada ในวันที่ 29 กันยายนนี้
เจ้า m2 note ถือว่าเป็นมือถือสเปกกลางๆ แต่ราคาอยู่ที่ 5,990 บาทซึ่งถือว่าคุ้มค่าอย่างมาก ส่วนการใช้งานจะเป็นอย่างไร ติดตามได้เลยครับ (รูปเยอะมาก)
Meizu m2 note มีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920x1080 แบบ IGZO หากลองสัมผัสดูจะลื่นๆ แปลว่ามีการ coat สารกันรอยนิ้วมือมาด้วย ตัวเครื่องบรรจุมาในกล่องกระดาษแข็งอย่างหนาสีขาว ดูดีทีเดียว ภายในกล่องมีตัวเครื่อง, สาย micro USB, อแดปเตอร์ และเอกสารนิดหน่อยเท่านั้น โดยเวอร์ชันที่ขายในไทยจะไม่มีหูฟังแถมมาให้นะครับ ตรงช่องที่น่าจะเป็นที่วางหูฟังมีก้อนโฟมวางอยู่พร้อมสติกเกอร์เขียนว่า Earphone not included
ด้านหน้ามีปุ่ม Home ซึ่งทำหน้าที่เป็นปุ่ม Back ด้วย ถ้าแตะจะเป็น Back แต่ถ้าจะกลับหน้า Home ให้กดลงไปเลย การใช้งานถือว่าสะดวกดี แต่บางทียังเจอแตะ Back แล้วเบิ้ลไปเอง (กลายเป็น Back 2 ที)
ปุ่มควบคุมทั้งหมดจะรวมอยู่ด้านซ้าย มีปุ่ม Power และปุ่มปรับเสียง ตรงนี้มีข้อติว่าฟีลลิ่งการกดปุ่มยังทำได้แย่อยู่ โดยเฉพาะปุ่มเพิ่มเสียง กดแล้วมีเสียงแกรบๆ ดังออกมา ไม่แน่ใจว่าเป็นเฉพาะเครื่องที่ได้รับมาทดสอบหรือเปล่า
ด้านขวามีถาดใส่ซิม มีความพิเศษตรงที่สามารถใช้ช่องซิม 2 เป็นช่อง microSD ได้ด้วย กล่าวคือหากเราใช้ซิมเดียว ก็เอา microSD มาใส่เพิ่มแทนได้ในช่องเดียวกันเลย
ด้านบนมีช่องแจ็คหูฟัง 3.5 มม. และไมโครโฟนตัวที่สองเพื่อตัดเสียงรบกวนขณะสนทนา
ด้านล่างมีไมโครโฟน, ช่อง micro USB และลำโพง
ด้านหลังมีกล้อง, ไฟแฟลชสองสี, โลโก้ Meizu และข้อความ "Designed by Meizu Made in China"
หน้าจอเป็นหนึ่งในสิ่งที่รู้สึกประทับใจมาก ให้สีได้สดใส การแตะไม่ดีเลย์ ที่สำคัญคือสู้แดดได้ดีมาก ผมลองยืนกลางแดดตอนบ่ายโมง เปิดความสว่างอัตโนมัติ ยังมองจอได้ชัดเจนมาก อีกทั้งยังมีให้ผู้ใช้ปรับเองได้ว่าอยากได้สีโทนไหน
Meizu ได้พัฒนารอมของตนเองในชื่อ Flyme OS (อ่านว่า fly-me) เน้นความสดใสของไอคอนผสานกับคอนเซ็ป flat design ตามสมัยนิยม ส่วนเนื้อในเป็น Android 5.1 หน้าตาของรอมแทบไม่เหลือเค้าเดิมของ stock Android เลย
เปิดเครื่องครั้งแรกมีหน้า Home ให้สองหน้า แอพ bloatware นั้นแทบจะไม่มี ซึ่งเป็นข้อดีมากๆ โดย Meizu ได้ทำชุดไอคอนขึ้นมาแทนไอคอนแอพของกูเกิลด้วย เช่น Maps และ Play Store ดังภาพ หากไม่ชอบสามารถปิดได้
หน้า Home ใช้แนวทางเหมือนรอมจีนตัวอื่น คือไม่มี app drawer ไอคอนแอพทุกตัวในเครื่องจะมาอยู่ที่นี่ทั้งหมด (ผมมองว่าเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดี) แต่วิธีแก้ไขก็ง่าย เพียงเปลี่ยน launcher ก็ได้แล้วครับ
ตัวเครื่องมีพื้นที่เก็บข้อมูล 16GB แต่มองเห็นจริง 14.56GB เปิดมาครั้งแรกระบบใช้ไป 2.82GB และเหลือให้ผู้ใช้ประมาณ 10GB
หน้า Settings จัดเลย์เอาท์แบบ 2 คอลัมน์ โดยคอลัมน์ขวาสามารถเลื่อนซ้ายขวาได้ ตรงนี้ผมมองว่าเป็นข้อเสียอีก เนื่องจากทำให้อาจแสดงผลได้ไม่ครบ ดูตัวอย่างที่รูปบน ตรง Available: 10.... แต่ก็ไม่พบสถานการณ์อย่างนี้บ่อยนัก
การล็อคเครื่องมีให้เพียงสองตัวเลือกเท่านั้น คือสไลด์เพื่อปลดล็อค หรือใช้รหัส ไม่มี pattern unlock หรือ face unlock ให้ใช้นะครับ นอกจากนั้นฟีเจอร์ smart unlock ที่มีใน stock Android ก็ถูกตัดออกไปเช่นกัน
คีย์บอร์ดที่มากับเครื่องมีให้สองตัวคือคีย์บอร์ดที่ Meizu ทำเอง (ไม่มีภาษาไทยให้ใช้) และคีย์บอร์ดที่พรีโหลดมาของ TouchPal ตัวนี้โหลดคีย์บอร์ดไทยมาเพิ่มเองได้ สรุปว่าเปิดเครื่องมาครั้งแรกจะยังไม่มีคีย์บอร์ดไทยให้พร้อมใช้งานนะครับ แต่ภาษาตัวเครื่องมีไทยให้เลือกอยู่แล้ว
นอกจาก Google Play Store แล้ว ผู้ใช้ยังสามารถโหลดแอพจาก App Center ของ Meizu เองได้ด้วย แต่ตอนนี้ยังมีเฉพาะแอพภาษาจีนล้วนๆ รวมถึงธีมก็มีให้โหลดหรือซื้อเช่นกัน
แอพที่พรีโหลดมาอีกตัวคือ Security Center ตอนแรกผมไม่ได้สนใจเลยเพราะกดเข้าไปดูนึกว่าสแกนไวรัสทั่วๆไป (ปกติผมไม่ใช้แอพลักษณะนี้อยู่แล้ว) แต่ตอนหลังเพิ่งมาเจอว่าทำอะไรดีๆ ได้หลายอย่าง
ในหน้า Traffic Manager ก็จะมีการนับว่าใช้ดาต้าไปเท่าไหร่แล้ว แต่อีกส่วนที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์มากคือการปิดไม่ให้แอพหนึ่งๆ ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ บางครั้งเราอาจมีแอพในเครื่องที่มักจะโหลดข้อมูลอยู่เบื้องหลัง หรือหากเรามีโควต้าอินเทอร์เน็ตน้อย ก็สั่งปิดได้เลยว่าไม่ให้แอพไหนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ แยกชัดเจนระหว่าง mobile data และ Wi-Fi
ผมทดลองปิดไม่ให้แอพทวิตเตอร์เข้าอินเทอร์เน็ตได้ ผลคือเข้าแอพแล้วจะโหลดอะไรไม่ขึ้นเลย
อีกส่วนที่ผู้ใช้แอนดรอยด์รอมานานคือสั่งปิดบาง permission ของแอพได้ เช่นสั่งไม่ให้ใช้ไมโครโฟน, ห้ามโทรออก, ห้ามรันตัวเองตอน startup ฯลฯ จัดว่าทำมาได้ละเอียดและใช้ง่ายทีเดียว
หรือจะดูเป็นรายการแอพแล้วเข้าไปปรับทีละแอพก็ได้
สุดท้ายคือโหมดประหยัดพลังงานแบบเต็มขั้น คือจะตัดฟีเจอร์ทุกอย่างออกหมด เหลือเพียงโทรศัพท์และส่งข้อความเท่านั้น รวมถึงเปลี่ยนสีจอเป็นขาว-ดำ
ผมทดสอบด้วยเพลงจาก Maroon 5 เป็นไฟล์ m4a แบบ Apple Lossless (ALAC) 24bit 44.1kHz ปรากฎว่าฟังด้วยแอพฟังเพลงเดิมๆ ที่มากับเครื่องได้เลย โดยจะมีตัวหนังสือเขียนว่า HQ กำกับอยู่ตอนเล่นเพลง จุดนี้ถือว่าดีเพราะปกติส่วนตัวผู้เขียนไม่เคยเจอโทรศัพท์แอนดรอยด์ตัวไหนที่เล่นไฟล์แบบนี้ได้หากไม่ได้ลงแอพเพิ่ม แต่ที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะ Meizu ก็ชูเรื่องการฟังเพลงมานานแล้ว
เสียงจากลำโพงนั้นแค่พอใช้ได้ ค่อนไปทางแย่ เสียงไม่ดังมากแม้เร่งเสียงสุดแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีอาการลำโพงแตกให้ได้ยิน ส่วนการฟังจากหูฟังถือว่าดีทีเดียว (ทดสอบกับหูฟังบ้านๆ Zero Audio ZH-DX200-CT)
Equalizer ก็มีให้พร้อม หรือจะใช้ค่า preset ก็ได้ มี Pop, Rock, Classic และ Bass
อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือ Dirac HD Sound โดยหากเรามีหูฟังตามรายการด้านล่างก็จะสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ช่วยขับหูฟังนั้นๆ ให้เสียงดีขึ้นได้ เสียดายว่าผมไม่มีเลยไม่ได้ทดสอบว่าดีขึ้นจริงหรือไม่ รายการหูฟังที่รองรับดังนี้
มาถึงส่วนที่สำคัญมากของโทรศัพท์มือถือกันบ้าง กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชสองสี ให้ภาพที่จัดว่าดีทีเดียวในที่แสงเยอะ แต่พอแสงน้อยก็มี noise มาให้เห็นตามระเบียบ
โหมดกล้องมีมาให้ถึง 7 โหมดด้วยกัน ดังนี้
โหมด Auto ก็ไม่มีอะไร อัตโนมัติทุกอย่าง จึงขอกล่าวถึงโหมด Manual เลยละกัน โหมดนี้มีให้ผู้ใช้ปรับค่าต่างๆ ได้สี่อย่าง
เป็นที่น่าสังเกตว่ามีให้ปรับเองเยอะขนาดนี้ แต่กลับไม่มีให้ปรับ White Balance เอง!
โหมด Beauty หรือโหมดฟรุ้งฟริ้งเอาใจสาวๆ สามารถพรีวิวก่อนถ่ายได้สดๆ เลย และปรับได้มากขึ้นไปอีกหลังถ่ายเสร็จแล้ว เช่น
โหมด Light field คือโหมดถ่ายแล้วโฟกัสทีหลังครับ มันจะถ่ายรัว 7 ภาพ ในระยะโฟกัสที่ต่างกัน แล้วให้ผู้ใช้เลือกทีหลังได้ว่าจะโฟกัสตรงไหน
ด้านล่างเป็นตัวอย่างรูปถ่ายจากกล้องนะครับ ไม่ได้ทำอะไรเลย ย่ออย่างเดียว
ถ่ายกลางวันออกมาดูดีมาก ผมใช้จอ Dell UltraSharp U2414H ซึ่งผ่านการคาลิเบรตสีมาจากโรงงาน พบว่าสีที่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
ถ่ายในร้านอาหาร ไฟสีเหลือง พบว่า White Balance ยังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร รูปติดเหลืองไปมาก
ถ่ายกลางคืนในที่โล่ง มี noise ชัดเจน แต่ไม่น่าเกลียดมาก รูปที่ได้ค่อนข้างสั่นเนื่องจากความเร็วชัตเตอร์ต่ำ ผมพยายามถือให้นิ่งที่สุดแล้ว ได้เท่านี้
มาดูความแรงกันบ้าง ผมรัน AnTuTu 64 บิต ได้คะแนนประมาณนี้ครับ
ทดสอบการเล่นเกม Asphalt 8 เล่นได้โอเค ไม่มีค้างหรือหนืดให้เห็น
ข้อดีก็มีเยอะมาก แต่ลองมาดูข้อเสียและปัญหากันบ้าง จากการใช้งานมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ ผมพบปัญหาใหญ่ร้ายแรง 2 ประการ อย่างแรกที่ผมเจอคือเฟิร์มแวร์ที่มากับเครื่องตอนแรกนั้นเป็น Flyme OS 4.5.2I โดยเมื่อล็อกอิน Google account แล้วกลับซิงค์ contacts และปฏิทินไม่ได้! คือไม่มีขึ้นมาในเครื่องเลย เหมือนกับว่าเครื่องไม่รู้จักว่าสองอย่างนี้สามารถซิงค์ได้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ลองค้นดูแล้ว เจอว่า Meizu ได้ปล่อย Flyme OS 4.5.3I ออกมาแล้ว แต่ถ้ากดเช็คทาง OTA จะยังไม่พบ ผู้ใช้ต้องโหลดเฟิร์มแวร์ตัวใหม่มาแฟลชเองผ่าน recovery พอแฟลชเสร็จเครื่องก็จะเริ่มซิงค์ contacts และปฏิทินให้ทันที (วิธีแฟลช)
ประการที่สองคือในบางแอพจะกดปุ่มเมนูไม่ได้เลย คือเมื่อแอพนั้นถูกเขียนเมนูขึ้นมาโดยใช้ ListView เราจะกดอะไรไม่ได้เลยครับ ผมเจอปัญหานี้กับแอพ Timetable ที่เอาไว้ดูตารางเรียน ผมไม่สามารถเข้าไปตั้งค่าแอพนี้ได้เลย ทั้งๆ ที่ HTC One M7 รัน Android 5.1 เหมือนกันกลับไม่พบปัญหานี้ หวังว่า Meizu จะออกอัพเดตมาแก้โดยเร็ว เขียนอธิบายน่าจะงง ลองดูคลิปประกอบครับ
นอกนั้นจะเป็นปัญหาเล็กๆ หรือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นส่วนที่ไม่ดีของ Meizu m2 note นี้ ขอลิสต์เป็นข้อๆ นะครับ
Meizu m2 note นั้นเป็นสมาร์ทโฟนราคาย่อมเยาที่ให้ประสบการณ์การใช้งานเข้าขั้นดีถึงดีมาก คุณภาพวัสดุและการประกอบทำได้ดี รอมทำมาใช้งานง่าย สวยงาม ลื่นไหลดีมาก แต่ยังมีบั๊กแปลกๆ ตามที่เขียนไว้ด้านบน การใช้งานโดยรวมดีมาก หวังว่าผู้ผลิตจะออกเฟิร์มแวร์อัพเดตเพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ยังมีอยู่ต่อไป
ข้อดี
ข้อเสีย