พัฒนาการการเปิดเสรีอินเทอร์เน็ตไทย

by icez
25 September 2015 - 13:15

ประเทศไทยมีประวัติการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมายาวนานเป็นประเทศแรกๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ยุคบุกเบิกโดยมหาวิทยาลัยต่างๆ จนกระทั่งมีการเชื่อมต่อโครงข่ายเป็นการถาวรและเป็นกิจลักษณะ โดยมีบริษัท เค เอส ซี คอมเมอร์เชียล อินเทอร์เน็ต จำกัด (KSC) เป็นผู้ให้บริการเชิงพาณิชย์รายแรกในไทยในปี พ.ศ. 2537

โครงสร้างอินเทอร์เน็ตประเทศไทยในยุคแรกเริ่มนั้น ต่างหน่วยงานต่างก็เชื่อมต่อออกต่างประเทศกันเองผ่านทางช่องทางสื่อสารต่างๆ ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงมากเนื่องจากเป็นการใช้งานจากรายเล็กๆ หลายๆ ราย ซึ่งทำให้เกิดปัญหาตามมา เนื่องจากว่าผู้ให้บริการแต่ละรายไม่มีการเชื่อมต่อเข้าหากันได้โดยตรง จึงทำให้การสื่อสารจากหน่วยงานที่หนึ่ง ไปยังหน่วยงานที่สองที่แม้ว่าจะอยู่ภายในประเทศไทยด้วยกัน ในบางครั้งจะต้องติดต่อออกไปอ้อมยังต่างประเทศ เช่นสิงคโปร์ หรือฮ่องกง หรือกรณีเลวร้ายที่สุดคือต้องไปอ้อมถึงอเมริกาเลยทีเดียว จนได้มีการประกาศให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อผ่านศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกลางที่ดำเนินการโดยการสื่อสารแห่งประเทศไทย (ในยุคนั้น) เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 24 กรกฎาคม 2544 และผูกขาดการเชื่อมต่อทั้งใน และระหว่างประเทศแต่เพียงผู้เดียวมาอย่างยาวนาน

อย่างไรก็ตาม การที่มีเพียงการสื่อสารแห่งประเทศไทยเพียงรายเดียวนั้นก็ทำให้ค่าเชื่อมต่อสูงมาก (แม้ว่าจะลดลงมาจากการที่ผู้ให้บริการแต่ละรายเชื่อมต่อเองแล้วก็ตาม) อีกทั้งยังไม่มีความหลากหลายของเส้นทางการเชื่อมต่อออกต่างประเทศอีกด้วย โดยเริ่มมีความพยายามในการแก้ไขปัญหานี้ตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเมื่อปี 2540 และตามมาด้วยพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 จนนำมาสู่การจัดตั้ง คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ขึ้นมาได้ เป็นผลให้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบอินเทอร์เน็ตประเทศไทย และมีการประกาศเปิดเสรีอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ระหว่างประเทศ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2549

การจัดตั้ง กทช. ในครั้งนั้นได้ออกใบอนุญาตให้แก่บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (CAT) และบริษัท ทีโอที จำกัด (TOT) ในปี 2548 บริษัท ทรู อินเทอร์เนชั่นแนล เกตเวย์ จำกัด (TIG) และบริษัท แอดวานซ์ ดาต้าเน็ทเวอร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (ADC) ในปี 2549 และบริษัทอื่นๆ อีกหลายบริษัทในปีต่อๆ มา โดย TOT ได้เริ่มมีการเชื่อมต่อออกต่างประเทศเป็นของตัวเองในเดือนตุลาคม 2549 ด้วยขนาดวงจร 620 Mbps TIG เริ่มให้บริการในเดือนเมษายน 2550 ด้วยขนาดวงจร 3,655 Mbps หลังจากนั้นก็ได้มีการเพิ่มเติมมาอีกหลายรายจนล่าสุดปัจจุบันมีแล้ว 10 ราย (CAT, DTAC, BB Connect, CSL, JasTel, AWN, SYMC, TCCT, TIG, TOT) พร้อมทั้งวงจรเชื่อมต่อที่หลากหลายเส้นทางมากขึ้น

ข้อดีของความหลากหลายของเส้นทางนี้มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดเมื่อเทียบครั้งที่เกิดเหตุการณ์เคเบิลใต้น้ำขาดเนื่องจากแผ่นดินไหวที่ไต้หวันเมื่อปลายปี 2549 ซึ่งในตอนนั้นยังมีเพียง CAT เจ้าเดียวเท่านั้น ทำให้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยแทบไม่สามารถเรียกใช้งานข้อมูลจากต่างประเทศได้เลยเนื่องจากชำรุดไปมากกว่า 60% และเป็นการชำรุดในเส้นทางหลักที่เชื่อมต่อไปยังอเมริกาเหนือซึ่งเป็นการใช้งานส่วนใหญ่อีกด้วย แต่ในปี 2554 ที่มีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่นที่ทำให้สายเคเบิลใต้น้ำขาดจำนวนมาก ประเทศไทยกลับแทบไม่ได้รับผลกระทบเลยเนื่องจากมีปริมาณเส้นทางสำรองเพียงพอกับปริมาณการใช้งาน โดยผลกระทบมีเพียงการใช้งานที่ล่าช้าลงไปบ้างตามเส้นทางที่ต้องอ้อมมากขึ้นเท่านั้น

หรือแม้แต่ครั้งที่อาคารสื่อสารข้อมูลของ กสท ที่บางรักโดนตัดไฟ หากในครั้งนั้นยังคงมีเพียง กสท เป็นผู้ให้บริการรายเดียว อินเทอร์เน็ตของประเทศไทยคงล่มหมดทั้งประเทศเลยทีเดียวเนื่องจากศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูล CAT ทั้งภายในและต่างประเทศต่างก็อยู่ที่อาคารดังกล่าวทั้งคู่ ผลกระทบโดยหลักจึงเหลือเพียงการใช้งานที่ผ่าน หรืออยู่ที่อาคารดังกล่าวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบไป

อีกทั้งเมื่อตลาดแข่งขันเสรี ผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ต่างก็ต้องลงทุนเพื่อแข่งขันกันในตลาดก็ทำให้ขนาดวงจรที่เชื่อมต่อออกต่างประเทศโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้นแทบทุกปี แผนภูมิแท่งด้านล่างแสดงขนาดวงจรของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศของประเทศไทยโดยรวม ในเดือนมกราคมของแต่ละปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา (กราฟเป็น Log scale โปรดระวังในการอ่านค่า) ทำให้โดยเฉลี่ยแล้วประเทศไทยมีขนาดวงจรเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเกือบๆ เท่าตัวทุกปี

ในขณะเดียวกัน ข้อดีที่ชัดเจนยิ่งกว่าของตลาดแข่งขันเสรีที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับขนาดวงจรที่ใหญ่ขึ้นคือ ค่าบริการในการเชื่อมต่อ IIG เหล่านี้ได้มีการปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องตามแผนภูมิด้านล่าง ซึ่งเป็นตัวเลขประมาณการค่าใช้จ่ายของการเชื่อมต่อเข้าหา IIG ในแต่ละปีโดยไม่รวมค่าสายสัญญาณ โดยมีแนวโน้มในการปรับลดลงมาไม่ต่ำกว่า 30% ทุกๆ ปี ทำให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตต่างประเทศความเร็วสูงขึ้นเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น ค่าใช้จ่ายน้อยลง และมีเสถียรภาพดีขึ้น

แม้ว่าตลาดอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ระหว่างประเทศจะยังคงเป็นตลาดเฉพาะ ที่มีผู้ที่สามารถให้บริการได้น้อยราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตตามบ้านหรือในองค์กรรายใหญ่เท่านั้นถึงจะมีไว้ใช้งานเอง และอาจมีขายให้แก่ผู้ให้บริการรายอื่นที่ไม่มีเกตเวย์เป็นของตัวเองบ้าง แต่เราก็ยังสามารถเห็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์เหล่านี้เชื่อมต่อเข้าหากันเพื่อเป็นการสร้างเส้นทางสำรอง ทั้งให้กับระบบของตนและรวมไปถึงลูกค้าผู้ใช้งาน ผลการสร้างโครงข่ายแบบนี้ก็ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพในราคาที่คุ้มค่าและเอื้อมถึงได้

Blognone Jobs Premium