Lumia 950 XL ถือเป็นมือถือระดับเรือธงตัวล่าสุดของไมโครซอฟท์ (ที่ห่างหายการออกมือถือเรือธงสเปกสูงกันมานาน นับย้อนไปถึง Lumia 930) มันแบกรับภารกิจอันหนักหน่วงในการประคอง Windows 10 Mobile ให้อยู่รอดไปได้ตลอดปี 2016 นี้ (ตามยุทธศาสตร์ถอยเพื่อโตที่ประกาศเอาไว้)
กลุ่มเป้าหมายหลักของ Lumia 950 XL คือบรรดาแฟนคลับของ Windows Phone ที่ยังเหนียวแน่นอยู่กับระบบปฏิบัติการค่ายนี้ ในรีวิว Lumia 950 XL รอบนี้ เราจึงมาดูกันว่าไมโครซอฟท์ทำได้ดีแค่ไหน และฟีเจอร์ที่เป็นความหวังอย่าง Continuum มีอนาคตเพียงใด
หมายเหตุ: ผมรีวิวระบบปฏิบัติการ Windows 10 Mobile ไปแล้ว ในรีวิว Lumia 950 XL จะกล่าวถึงฮาร์ดแวร์ กล้อง และฟีเจอร์ Continuum ครับ
Lumia 950 XL เป็นมือถือจอใหญ่ 5.7" ความละเอียด 1440x2560, หน่วยประมวลผล Snapdragon 810, แรม 3GB ในแง่สเปกพื้นฐานถือว่าใกล้เคียงกับ Nexus 6P มาก
ถ้าเอาตัวเลขสเปกอย่างเดียว อาจถือว่าตกรุ่นไป 1 รอบเมื่อเทียบกับมือถือรุ่นต้นปี 2016 ที่ใช้ Snapdragon 820 กันแล้ว แต่โดยรวมก็ยังถือว่าสเปกสูงเยี่ยม แค่ไม่เป็นที่สุดเท่านั้น
มือถือตระกูล Lumia สร้างชื่อจากเอกลักษณ์การออกแบบที่ไม่เหมือนใคร ใช้พลาสติกโพลีคาร์บอเนตสีสันสดใส แต่กรณีของ Lumia 950 XL กลับดูไม่ค่อยโดดเด่นเท่ารุ่นพี่ๆ โดยรูปลักษณ์ภายนอกเป็นแท่งสี่เหลี่ยมแบนๆ มุมโค้งนิดหน่อย ไม่มีอะไรพิเศษ (มีแค่สองสีคือขาวกับดำ รุ่นที่ทดสอบเป็นสีดำ)
ด้านหน้าเครื่องไม่มีปุ่มใดๆ เลยเพราะใช้ปุ่มแบบ capacitive ทั้งหมด (นั่นคือด้านหน้ามีแค่โลโก้ Microsoft เท่านั้น) ส่วนด้านหลังก็เรียบๆ มีเลนส์กล้องวงกลมตรงกลาง นูนขึ้นมาจากฝาหลังเล็กน้อย
Lumia 950 XL ยังเป็นมือถือที่ถอดฝาหลังและเปลี่ยนแบตได้เอง (กลับทิศกับ Lumia ยุคแรกๆ บางตัวที่ทำไม่ได้) และรองรับสองซิมในตัวครับ แอพโทรศัพท์กับข้อความจะแยกเป็น 2 อันให้เลย
หน่วยความจำภายในให้มา 32GB สามารถใส่ microSD เพิ่มเองได้ โดยเป็นช่องเดียวกับซิมอันที่สอง ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
Lumia 950 XL ถือเป็นมือถือที่มีขนาดใหญ่ พอตัวเครื่องค่อนข้างแบนเลยรู้สึกว่ามันใหญ่เข้าไปอีก จากภาพเทียบขนาดกับ Note 5 จะใหญ่กว่ากันเล็กน้อย
สรุปคือฮาร์ดแวร์ของ Lumia 950 XL ไม่มีอะไรโดดเด่น (แต่ก็ไม่มีอะไรด้อย) หน้าตาเรียบๆ ไม่เป็นเอกลักษณ์เท่าไรนัก อันนี้ถือว่าน่าผิดหวังเล็กน้อยสำหรับมือถือเกรดเรือธงที่ปัจจุบันแข่งกันเรื่องดีไซน์แบบสุดๆ
จุดเด่นประการหนึ่งของ Lumia 950 XL คือกล้องคุณภาพดี ความละเอียด 20MP พร้อมเลนส์ ZEISS แบบ 6 ชิ้น ที่มีกันสั่น OIS
กล้องของ Lumia 950 XL ยังมีไฟแฟลช 3 ดวงที่เรียกว่า Tri LED Natural Flash และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ 4K
ผมลองใช้กล้องถ่ายภาพ (ส่วนใหญ่เป็นตอนกลางวัน) พบว่าผลงานน่าประทับใจมาก แอพกล้องสามารถเลือกโหมดถ่ายได้ 3 แบบคือ JPEG คุณภาพสูง (16MP), JPEG คุณภาพปกติ (8MP) และ JPEG 8MP + DNG 16MP ได้ออกมาสองไฟล์พร้อมกัน
ภาพตัวอย่างถ่ายด้วยโหมด JPEG 16MP แบบ Auto ไม่ได้ปรับแต่งใดๆ ขนาดไฟล์ที่ได้ประมาณ 5-7MB ต่อภาพ ภาพขนาดเต็มดูได้จาก Flickr ตามลิงก์
อย่างไรก็ตาม ในยุคที่มือถือแข่งกันเรื่องกล้องอย่างหนักหน่วง ระดับความเจ๋งของกล้อง Lumia 950 XL จึงไม่ต่างอะไรจากกล้องตัวท็อปๆ ในตลาดมากนัก ต่างไปจากสมัย Lumia 1020 ที่เหนือกว่าคู่แข่งแบบก้าวกระโดด
ฟีเจอร์เด่นของ Lumia 950 XL ย่อมหนีไม่พ้น Continuum ที่เป็นความหวังของไมโครซอฟท์ แนวคิดของมันคือสร้างแอพแบบ Universal Windows Platform ที่รันได้ทั้งบนมือถือและพีซี และเมื่อนำมือถือมาแปลงกายเป็นพีซี ก็สามารถใช้แอพตัวเดิม รันแบบจอใหญ่ได้เลย
เราสามารถใช้งาน Continuum ได้ 2 วิธี คือ
จอภาพแบบ Wireless Display ยังไม่แพร่หลายมากนัก ไมโครซอฟท์จึงให้ Display Dock มาให้ทดสอบด้วย
หน้าตาของ Dock ไม่มีอะไรพิเศษ ด้านหน้ามีพอร์ตเชื่อมต่อเพียง 1 พอร์ตคือ USB Type-C เอาไว้เชื่อมกับตัวมือถือ (เป็นสายชาร์จไปในตัว)
ด้านหลังมีทั้งหมด 6 พอร์ตคือ USB ขนาดปกติ 3 พอร์ต เอาไว้ต่อเมาส์ คีย์บอร์ด และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ, USB Type-C ไปเข้าสายชาร์จ (ใช้สายชาร์จที่แถมมากับ Lumia 950 ได้) และพอร์ตต่อจอภาพ 2 พอร์ต เลือกได้ว่าจะเป็น HDMI หรือ DisplayPort
การใช้งานสามารถต่อเมาส์และคีย์บอร์ดผ่าน Bluetooth แทนต่อด้วย USB ก็ได้ครับ ดังนั้นขั้นต่ำเราแค่ต่อไฟกับต่อจอก็พอแล้ว
เมื่อเสียบสายที่จำเป็นครบแล้ว Continuum จะไม่ทำงานอัตโนมัติ เราต้องเรียกผ่านแอพ Continuum ที่จะแสดงหน้าจอสอนติดตั้งดังภาพ
ถ้าเราเสียบสายครบแล้วและเลือกต่อแบบ Wired Dock ภาพก็จะโผล่ขึ้นจอทันที ในการใช้งานครั้งแรก ไมโครซอฟท์จะเล่นวิดีโอโฆษณาความสามารถของ Continuum ให้ดูบนจอใหญ่ด้วย ก็ถือว่าปลุกเร้าอารมณ์ดีครับ ให้ความรู้สึกว่า เออ ฟีเจอร์นี้มันดูเจ๋งดี
ในกรณีที่เราไม่ได้ต่อเมาส์และคีย์บอร์ดเลย Continuum ก็ยังทำงานได้ครับ โดยหน้าจอของ Lumia จะกลายเป็นทัชแพดโดยอัตโนมัติ และถ้าเราคลิกที่ช่อง textbox ใดๆ ก็จะเปิดคีย์บอร์ดบนหน้าจอมาให้อัตโนมัติ (แต่ลองใช้งานจริงแล้วก็พบว่าต่อเมาส์-คีย์บอร์ดใช้คล่องกว่ามาก ฟีเจอร์พวกนี้เอาไว้ใช้แก้ขัด)
หน้าจอใหญ่ของโหมด Continuum จะคล้ายกับ Windows 10 บนพีซีมาก โดยมีปุ่ม Start และ Taskbar เหมือนกันทุกประการ
Start Menu จะเรียงไอคอนเหมือนกับ Start Screen บนมือถือทุกประการ แต่ถ้าแอพไหนไม่รองรับ Continuum ก็จะเป็นสีเข้มๆ ดังภาพครับ (จากภาพ แอพที่ไม่รองรับคือ Skype และ Twitter ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจาก Windows Phone 8 และยังไม่ทำเป็น Universal)
แอพที่รองรับ Continuum รันโหมดเต็มจอ ก็จะเหมือนบน Windows 10 เดสก์ท็อปแบบเป๊ะๆ เลยครับ จากภาพข้างล่างคือแอพ Weather
Outlook Calendar แบบเต็มจอ
จุดต่างของการรันแอพบน Continuum กับแอพบน Windows 10 ตัวเต็ม คือแอพจะรันได้เฉพาะโหมดเต็มจอเท่านั้น (รันเต็มจอหรือไม่ก็ย่อ minimize ไปเลย) ไม่สามารถย่อหน้าต่างให้เล็กลงแบบไม่เต็มจอได้ อันนี้จะคล้ายกับ Windows 8 มากกว่า
วิธีการสลับแอพสามารถกดเลือกได้ที่ Taskbar หรือจะกดปุ่ม Task View เพื่อดูหน้าต่างทั้งหมดก็ทำได้เช่นกัน
แถบแจ้งเตือน Notification จะอยู่ด้านข้างเหมือนกับ Windows 10 ตัวเต็ม (ไมโครซอฟท์คิดมาให้หมดแล้ว) โดยมุมขวาล่างของจอจะมีแค่ไอคอน Notification เพียงไอคอนเดียว ส่วนนาฬิกา และแบตเตอรี่ จะย้ายมาอยู่มุมขวาบนแทน
หน้าจอของ Continuum กับหน้าจอมือถือจะเป็นอิสระจากกัน เราสามารถรันแอพคนละตัวกัน แบ่งกันทำงานได้เลย (เพียงแต่ถ้าเราเปิดแอพบนจอมือถือ จะใช้จอเป็นทัชแพดไม่ได้)
ในกรณีที่ผมเปิดแอพสักตัวบนจอ Continuum แล้วเรียกแอพตัวเดียวกันบนจอมือถือ แอพตัวนั้นจะหายไปจากจอ Continuum แล้วโผล่บนจอมือถือแทน (ไม่สามารถเปิดแอพตัวเดียวกันพร้อมกันทั้งสองหน้าจอได้)
จากการลองใช้งาน พบว่าแอพที่มีประโยชน์มากเมื่อรันบนหน้าจอ Continuum คือเว็บเบราว์เซอร์ Edge และแอพกลุ่ม Office ที่ใช้ประโยชน์จากหน้าจอขนาดใหญ่ได้เต็มที่ ส่วนแอพที่มี UI ง่ายๆ และออกแบบมาให้ทำงานบนมือถือได้ดีอยู่แล้วอย่าง Maps และ Weather ยังไม่เห็นประโยชน์จากหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตาม ผมพบว่า Continuum ยังไม่มี "killer app" ที่เป็นแอพสุดเจ๋งจนรู้สึกว่าเราควรซื้อ Display Dock มาใช้งานเพื่อการนี้ (คาดว่าเป้าหมายของไมโครซอฟท์คือแอพกลุ่ม Productivity ตามยุทธศาสตร์ของบริษัท) แอพฝั่ง Office ถือว่าใช้งานได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกับ Microsoft Office ตัวเต็มก็ยังถือว่าห่างไกลกันมาก (และคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่า Office Universal จะทำงานได้เท่ากับ Office Win32)
นอกจากนี้ ผมยังไม่เห็นความคุ้มค่าของการซื้อ Display Dock มาใช้งานเท่าไรนัก เพราะมันยังไม่สามารถทดแทนการใช้พีซีได้เต็มที่ (ถือเป็นก้าวแรกที่ดี แต่ยังอีกไกลกว่าจะสมบูรณ์) ดังนั้นใครที่ฝันว่าไม่ต้องพกคอมพิวเตอร์ พกมือถือตัวเดียว แล้วซื้อ Display Dock ทิ้งไว้ที่ทำงานก็พอ ก็คงต้องฝันกันต่อไป
Lumia 950 XL เป็นมือถือสเปกดี กล้องดี แม้ดีไซน์อาจดูน่าเบื่อไปสักหน่อย แต่ในแง่ฮาร์ดแวร์โดยรวมก็ไม่มีอะไรต้องวิจารณ์เท่าไรนัก
สิ่งที่เป็นจุดอ่อนสำคัญคงเป็นซอฟต์แวร์ โดยระบบปฏิบัติการ Windows 10 Mobile ที่ยังทำไม่เสร็จสักที และปัญหาขาดแคลนแอพที่บรรดาแฟนๆ ก็ต้องอดทนกันต่อไป
ส่วน Continuum ผมอยากเรียกมันว่าเป็น "ต้นแบบ" (prototype) ของ "คอมพิวเตอร์" ยุคหน้า ที่เราไม่ต้องพกโน้ตบุ๊กติดตัวในหลายๆ สถานการณ์ และสามารถนำมือถือไปใช้ทำงานที่ค่อนข้างซับซ้อนได้ผ่านเมาส์ คีย์บอร์ด จอภาพ
Continuum ทำงานได้จริงแล้ววันนี้ แต่มันยังห่างไกลกับการทดแทนการพกโน้ตบุ๊กอีกมาก โดยเฉพาะแอพที่ต้องพัฒนากันอีกเยอะ ทั้งหมดนี้ก็ได้แต่หวังว่าวิสัยทัศน์ Universal Windows Platform ของไมโครซอฟท์จะจุดติด และดึงดูดให้นักพัฒนาแอพหันมาลองสร้างแอพแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ดึงพลังของมันออกมาได้เต็มที่กว่านี้
โดยสรุปแล้ว Lumia 950 XL เป็นมือถือต้นแบบที่ดี แต่ถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้จริงๆ ก็ยังไม่แนะนำให้ซื้อครับ