ถ้าจะว่าไปแล้วสองสามปีที่ผ่านมา ผมชักจะเริ่มเบื่อกับการรอคอยการอัพเดตระบบปฏิบัติการของมือถือแอนดรอยด์รุ่นเรือธง รวมไปถึงการปิดช่องโหว่ความปลอดภัยที่ไม่รู้จะมาเมื่อไร อย่างเร็วที่สุดก็สองเดือนบ้างหรือบ้างก็ไม่มากันเลย ยิ่งถ้าเปิดตัวมาเกินหนึ่งปีแล้ว (ภาษาชาวบ้านเรียก “ตกรุ่น”) อันนั้นก็อย่าได้หวัง แล้วกันไปใหญ่
ประจวบเหมาะกับ Google ก็เริ่มมีการลดราคา Nexus รุ่นที่เจ็ด อย่าง Nexus 6P ที่ล้างจุดอ่อนประจำตระกูล Nexus อย่างเรื่องกล้องไป ทำให้เป็นข้ออ้างให้ตัวเองในการโบกมือลาเจ้าสมาร์ทโฟนเพื่อนยากที่รับใช้อย่างซื่อสัตย์กว่าสามปี หลังจากใช้งานได้ประมาณสามสัปดาห์จึงอยากจะเล่าประสบการณ์ให้ฟังกัน
คำเตือน: รูปประกอบเยอะนะครับ
หลังจากหยิบเจ้า Nexus 6P ออกมาจากช่อง ด้านล่างจะมีบัตรเชิญให้ทดลองใช้ Google Play Music และซองกระดาษบรรจุข้อมูลการรับประกันและ SIM ejector pin ล่างสุดจะมีสาย USB type-A to type-C ยาวหนึ่งฟุตอีกหนึ่งเส้น
เครื่องที่ผมซื้อมาเป็นรุ่น H1512 (Global) 64 GB ซอฟต์แวร์ที่รีวิวเป็น รอมศูนย์ Android Marshmallow 6.0.1 build MHCI119Q (April 2016) ไม่ปรับแต่งและยังไม่รูท
ตัวรอมรองรับภาษาไทยและอังกฤษ สามารถสลับสับเปลี่ยนได้ตามถนัดครับ
ส่วน App Drawer จะแบ่งเป็นสองส่วน แถวแรกจะแสดงรายการแอพ 4 ตัวที่ระบบคาดว่าเราจะใช้งานในขณะนั้นๆ (App suggestions) ซึ่งถ้ารำคาญสามารถซ่อนไม่ให้แสดงได้ ส่วนล่างจะแสดงรายชื่อแอพทั้งหมดที่มีในเครื่อง แสดงเป็นตารางสี่หลักเรียงตามชื่อแอพ ไล่จากซ้ายไปขวาและบนลงล่าง ถ้าว่ากันตามตรงก็คือมีฟีเจอร์พื้นฐานแบบพอเพียง ปรับแต่งได้น้อยมาก ที่สำคัญตัว Launcher ไม่รองรับ notification badge (ตัวเลขเล็กๆ ที่มุมขวาบนของไอคอนที่แสดงจำนวนอีเมลหรือข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน) ซึ่งถ้าต้องการปรับแต่งได้มากกว่าอาจจะต้องมองหา Launcher อื่น
ในแง่ความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้เป็นจุดอ่อนของแอนดรอยด์มาตลอด เดิมผู้พัฒนาคิดอยากจะเข้าถึงอะไรบ้างก็ประกาศไปเลยว่าแอพของตัวเองมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงข้อมูลอะไรบ้าง เช่น เกมตัวนี้จะขอเข้าถึง SMS ปฏิทิน และ เบอร์ติดต่อ ผู้ใช้งานมีทางเลือกแค่จะรับทั้งหมดหรือไม่ก็ไม่ติดตั้งแอพไปเลย
แต่ใน Marshmallow เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเข้าควบคุมสิทธิ์การใช้งานได้มากขึ้น สามารถดูได้เป็นกลุ่มฟังก์ชัน เช่น กล้อง, location, โทรศัพท์, SMS เป็นต้น มีแอพไหนบ้างที่ต้องการสิทธิ์กลุ่มไหนและเราอนุญาตแอพไหนไปแล้วบ้าง ซึ่งถ้าภายหลังเปลี่ยนใจก็สามารถถอดสิทธิ์ออกภายหลังก็ย่อมได้
หรือจะดูเจาะเป็นรายแอพ เพื่อดูว่าขอสิทธิ์อะไรบ้าง รวมถึงสามารถปิดการเข้าถึงเมื่อไรก็ได้
เรียกว่าฟีเจอร์นี้ทำให้คนที่กังวลเรื่องความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลสามารถเลือกใช้แอพได้สบายใจมากขึ้น เมื่อไรที่แอพพยายามจะเข้าถึงข้อมูลที่เราปิดกั้นไว้ ระบบจะแสดงข้อความขออนุญาตการเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งผู้ใช้มีสิทธิ์จะปฏิเสธการเข้าถึงได้ทันที
ตัว Stock ROM ไม่มีตัวจัดการไฟล์เต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการเหมือนกับของผู้ผลิตแอนดรอยด์ค่ายอื่นๆ อย่าง Samsung (My Files) หรือ Xioami (Explorer) อันที่จริงก็พอจะมีให้ใช้งานแก้ขัดได้ โดยสามารถเข้าถึงได้ผ่านหน้าจอ Settings > Internal storage > Explore แต่มีความสามารถก็จำกัดอย่างมาก เพียงแค่ สามารถดูโฟลเดอร์ได้ ทำสำเนา ลบ แชร์ และ ค้นหา ได้ แต่ไม่สามารถดูหรือแก้คุณสมบัติไฟล์ ไม่สามารถเปลี่ยนชื่อหรือย้าย ไม่สามารถติดตั้งไฟล์ APK ได้ และไม่สามารถเรียกตรงจาก App Drawer ได้ ต้องเรียกใช้งานผ่าน Settings อย่างเดียว ซึ่งไม่คล่องตัวเอาเสียเลย ซึ่งแนะนำว่าให้หา File Manager อื่นมาใช้ ชีวิตจะดีขึ้นมาก
Nexus 6P ใช้ Google Keyboard ที่ไม่มีลูกเล่น ปรับแต่งไม่ได้ ข้อเสียที่เห็นได้ชัดคือลากคำ (swift หรือ gesture typing) ภาษาไทยไม่ได้
Nexus 6P ใช้ Google Photos ในการเล่นไฟล์หนัง ซึ่งมีความสามารถจำกัดอย่างมาก ตัวแอพเองไม่มีตัวเลือกปรับความสว่าง ระดับเสียง รวมถึงเร่งระดับเสียงให้ดังพิเศษไม่ได้ (boost volume) ไม่รองรับไฟล์ซับไตเติลแยก (SRT) จำตำแหน่งที่เล่นค้างไม่ได้ ซูมหรือปรับสัดส่วนการแสดงผลไม่ได้ โดยรวมๆ น่าจะเหมาะกับการเล่นกลับไฟล์วิดีโอที่บันทึกจากมือถือเองเท่านั้น ถ้าจะต้องการดูหนังหรือซีรีส์ น่าจะหาโปรแกรมอื่นมาใช้งานแทนจะเหมาะกว่า
Nexus 6P รองรับการใช้ลายนิ้วมือในการปลดล็อกหน้าจอหรือยืนยันการซื้อแอพ ซึ่งโดยรวมถือว่ารวดเร็ว ใช้เวลาประมาณ 1 วินาที ตั้งแต่วางนิ้วลงไปจนแสดงหน้าโฮม โดยรองรับการจดจำสูงสุด 5 นิ้วมือ
โดยส่วนตัวผมชอบตำแหน่งเซนเซอร์ปัจจุบันเพราะสำหรับเครื่องจอใหญ่ขนาดนี้ การแตะเซนเซอร์ที่อยู่ปลายเครื่องด้านหน้าอาจถือมือเดียวไม่ถนัดนัก เสียวจะหล่นต้องใช้สองมือช่วยประคอง แต่การที่เอาเซนเซอร์ไปวางอยู่ด้านหลัง เวลาหยิบนิ้วชี้ก็วางพอดี ทำให้การใช้งานมือเดียวง่ายและลดความหวาดเสียวเครื่องจะหล่นได้มาก
ตัวแอพกล้อง (Google Camera) มีโหมดน้อยมาก มีแค่โหมดถ่ายรูปปกติ, Photo Sphere, Panorama, Lens Blur และ Slow Motion ไม่มีโหมดหน้าสวยที่สาวๆ ส่วนใหญ่คาดหวัง (เอาเป็นว่าสวยตามธรรมชาติ)
ตัวอย่างรูปถ่ายจากกล้องหลังนะครับ
โดยส่วนตัวถือว่ากล้องทำงานได้รวดเร็วพอสมควร นับตั้งแต่ล็อกเครื่องปิดจอ กดปุ่ม Power ย้ำสองครั้งเพื่อเรียกเข้าแอพกล้องถ่ายรูป ภายในสองวินาทีก็พร้อมถ่ายรูปได้เลยครับ
แม้ว่ากล้อง Nexus 6P จะไม่มี Optical Image Stabilizer แต่การที่ Nexus 6P ใช้เซนเซอร์ขนาดใหญ่ 1/2.3” ทำให้การถ่ายรูปกลางคืนได้รายละเอียดขึ้นมามาก
รูปล่างเป็นรูปถ่ายภายในอาคารที่มีแสงน้อย เพื่อสาธิตความแตกต่างระหว่างการปิดกับเปิด HDR
รูปบนถ่ายแบบไม่เปิด HDR ส่วนรูปล่างเปิด HDR
ส่วนแอพกล้องก็ยังมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร มีตัวเลือกหลักๆ มีแค่กำหนดคุณภาพภาพถ่าย (resolution) และ สัดส่วนภาพ (4:3 รึว่า 16:9) เท่านั้น ส่วนตัวเลือกขั้นสูงสำหรับการถ่ายรูปได้น้อยมาก ไม่มีโหมดแมนนวล ไม่มีชดเชยแสง เปิดหน้ากล้องให้นานๆ รึยังไม่สามารถถ่าย RAW ได้ เป็นต้น
จากการทดลอง 6 ครั้ง (สำหรับการทดสอบ Internal Memory ใช้วิธี Accurate – with reboot) ผลเฉลี่ยได้ดังนี้
RAM copy: 5,015.56 ±295.04 MB/s
Internal Memory Read: 223.81 ±45.79 MB/s
Internal Memory Write: 101.43 ±17.57 MB/s
ผลการรันทดสอบในห้องปรับอากาศ 5 ครั้ง ผลอยู่ที่ 1,688 ± 131 คะแนน แต่ถ้าทดสอบอีก 5 ครั้งในอุณหภูมิห้องปกติกรุงเทพในเดือนเมษายน (34-38 องศาเซลเซียส) ผลคะแนนจะหล่นวูบอย่างกับหนังคนละม้วน เหลือแค่ 1,035 ± 151 คะแนน หลักจากตรวจสอบสาเหตุอยู่พักหนึ่ง จึงพบคำอธิบายที่ดูน่าเชื่อถือว่าน่าจะเกิดจากฟีเจอร์ thermal throttling กับซีพียูอันร้อนแรงอย่าง Snapdragon 810
จากการตรวจสอบข้อมูลของ 3DMark พบว่า ถ้าเครื่องยังเย็น (ภาพซ้าย) ซีพียูจะรันที่ 800 MHz เป็นส่วนใหญ่และไปแตะที่ 1.6 GHz ได้ แต่ถ้าเมื่อไรที่อุณหภูมิขึ้นเลย 35 ขึ้นไป (ภาพขวา) กราฟซีพียูเป็นยอดตัดเหมือนจะโดนล็อกไว้ไม่รันเกิน 600 MHz (แกนกราฟความเร็วซีพียูสองภาพนี้คนละสเกลกัน)
ผลทดสอบจาก AnTuTu Benchmark v6.0.1 จากการรัน 6 ครั้ง ในห้องปรับอากาศ อุณหภูมิเครื่องอยู่ระหว่าง 26-31 องศา คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 84,650 ±10,900 แต่ถ้าอยู่ที่อุณหภูมิห้อง อุณหภูมิเครื่องระหว่างการทดสอบขึ้นไปแตะ 37-40 องศา ผลจะหล่นเหลือ 44,137 ±4,370 คะแนน จากการรันอีก 6 ครั้ง
แต่ถ้าเอาแยกรายกลุ่มจะเห็นกว่าคะแนนทั้ง 3D, UX, CPU ต่างร่วงลงเกือบครึ่ง ยกเว้นแต่ RAM เท่านั้นที่ดูจะไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนที่น่ารำคาญที่สุดของแอนดรอยด์คือเรื่องปุ่มปรับเสียง เนื่องจากผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแต่ละเจ้าก็ใช้เทคนิคต่างกันไปในการส่งสัญญาณปรับระดับเสียง ทำให้เวลาเอาสายหูฟังแอนดรอยด์ข้ามยี่ห้อมาเสียบกันอาจจะใช้งานไม่สมบูรณ์ Google เพิ่งออกข้อกำหนดมาตรฐานเปิด Wired Audio Headset Specification ในช่วงปี 2014-2015 ที่ผ่านมา เพื่อให้ใครๆ สามารถผลิต headset ตามมาตรฐานที่สามารถทำงานร่วมกันได้ ข้อเท็จจริงคือมันเพิ่งออกมา ผู้ผลิตหลายเจ้ายังปรับตัวไม่ทัน ทำให้สายรุ่นเก่าที่มีอยู่ในตลาดส่วนใหญ่ทำงานได้ไม่สมบูรณ์
ผมทดสอบกับหูฟังแบบเสียบสาย สรุปผลคร่าวๆ ได้ตารางด้านล่างดังนี้
ข้อดี
ข้อเสีย