Elon Musk เผยแผนการขั้นสุดยอดของ Tesla ต่อไปรถจะวิ่งทำงานหาเงินให้เจ้าของได้

by BlackMiracle
23 July 2016 - 12:34

ไม่กี่วันก่อน Elon Musk โพสต์บทความลงบนบล็อกของ Tesla เขาเรียกมันว่า “แผนการขั้นสุดยอด ตอนที่ 2” หรือ “Master Plan, Part Deux” (Deux แปลว่า 2 ในภาษาฝรั่งเศส) เป็นแนวทางที่ Tesla ต้องการมุ่งหน้าไป อีกทั้งยังมีการเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย ผมอ่านแล้วคิดว่าทำให้เห็นภาพรวมระยะยาวของ Tesla ได้ดีมาก เลยแปลมาลงอีกทีครับ

ก่อนจะมาถึงแผนการขั้นที่ 2 ก็ต้องมีขั้นที่ 1 ก่อน ซึ่ง Elon เคยเขียนไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สรุปออกมาได้ 4 ข้อ ดังนี้ โดยในวงเล็บเป็นข้อความของผมเอง

  1. ผลิตรถยนต์จำนวนน้อยๆ และขายแพง (Tesla Roadster)
  2. ใช้เงินที่ได้จากข้อ 1 มาพัฒนารถยนต์ที่จะขายได้มากขึ้น และราคาถูกลง (Tesla Model S, Model X)
  3. ใช้เงินที่ได้จากข้อ 2 มาพัฒนารถยนต์ที่จะผลิตได้จำนวนมาก และคนส่วนใหญ่สามารถซื้อได้ (Tesla Model 3)
  4. ให้บริการด้านพลังงานแสงอาทิตย์ (SolarCity)

เส้นทางความเป็นมาของข้อ 1 ถึง 3 ผมเคยเขียนไว้ครั้งนึงแล้วตอนที่ Tesla Model 3 เปิดตัว ลองกดเข้าไปอ่านกันได้

Elon Musk บอกว่าการที่เขาต้องเริ่มจากข้อ 1 (ผลิตจำนวนน้อย) เพราะมันเป็นทุกสิ่งที่เขาทำได้จากการขาย PayPal ให้ eBay ไปในราคา 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตอนนั้นเขาคิดว่าโอกาสที่ Tesla จะไปรอดนั้นต่ำมาก เลยไม่อยากไปขอเงินทุนจากคนอื่นมา ทำให้ต้องใช้เงินตัวเอง โดยบริษัทรถยนต์หน้าใหม่ก็แทบจะไม่มีใครไปรอด และในปี 2016 มีบริษัทรถยนต์ในสหรัฐฯ เพียง 2 เจ้าที่ไม่ล้มละลาย คือ Ford และ Tesla นั่นเอง Elon บอกว่าการตั้งบริษัทรถยนต์ก็โง่พออยู่แล้ว และการตั้งบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ายิ่งโง่ยกกำลัง 2 เลย

การผลิตรถยนต์ในจำนวนน้อย แปลว่าโรงงานก็ไม่ต้องใหญ่มาก ซับซ้อนน้อยลง ถึงแม้ว่าการผลิตเกือบทั้งหมดต้องทำด้วยมือก็ตาม และแน่นอนว่าพอผลิตจำนวนน้อยก็ต้องขายแพง ไม่เกี่ยงว่าสิ่งที่ผลิตจะเป็นรถยนต์ซีดานหรือรถสปอร์ต (แล้วทำไมต้องผลิตรถยนต์ธรรมดาขายล่ะ?) เขาบอกว่ามีคนที่พร้อมจะจ่ายหนักสำหรับรถสปอร์ต แต่ไม่มีใครอยากจ่ายเงิน 1 แสนดอลลาร์เพื่อ Honda Civic พลังงานไฟฟ้าหรอก ต่อให้มันจะดูเท่แค่ไหนก็เถอะ

เหตุผลหนึ่งที่ Elon เขียนแผนการขั้นที่ 1 ไว้ก็เพื่อป้องกันข้อครหาว่า Tesla ผลิตรถยนต์สำหรับคนรวยเท่านั้น เช่นตั้งบริษัทอินดี้มาเพราะรู้สึกว่ายังมีแบรนด์รถสปอร์ตไม่เพียงพอ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่ายังมีบทความโจมตี Tesla ออกมามากมายนับไม่ถ้วนอยู่ดี

เหตุผลหลักของแผนการขั้นที่ 1 คืออธิบายการกระทำต่างๆ ของ Tesla ในภาพรวม หลักๆ แล้วก็คือการเร่งให้คนหันมาใช้พลังงานที่ยั่งยืน ทำให้มนุษย์สามารถจินตนาการถึงอนาคตได้ไกล และยังดำรงชีวิตได้อยู่ (ไม่ใช่คิดว่าอีก 10 ปี 100 ปี น้ำมันหมดโลก อยู่กันไม่ได้) เขาย้ำว่า “ความยั่งยืน” ไม่ใช่ของงี่เง่า หรืออินดี้แต่อย่างใด แต่มันสำคัญกับทุกคน

Elon บอกว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง เราก็ต้องเปลี่ยนไปใช้พลังงานที่ยั่งยืน หรือไม่อย่างนั้นแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลก็จะหมดลง และมนุษยชาติก็จะล่มสลาย ยังไงเราก็ต้องเลิกใช้น้ำมัน และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดก็เห็นด้วยว่าปริมาณคาร์บอนในชั้นบรรยากาศและในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ยิ่งเราหันมาใช้พลังงานที่ยั่งยืนได้เร็วแค่ไหน ก็ยิ่งดีเท่านั้น

เพื่อให้พวกเราเข้าถึงพลังงานที่ยั่งยืนได้เร็วขึ้น Elon เปิดเผยแผนการขั้นที่ 2 ดังนี้

รวมการกำเนิดพลังงานและการเก็บพลังงานเข้าด้วยกัน

สร้างโซลาร์เซลล์ที่รวมระบบเข้ากับแบตเตอรี่แบบไร้รอยต่อสำหรับบ้านแต่ละหลัง จากนั้นก็ขยายสเกลไปทั่วโลก สั่งครั้งเดียว, ติดตั้งครั้งเดียว, ติดต่อบริการที่เดียว, ใช้แอพแอพเดียว

โซลูชันแบบนี้ไม่สามารถทำได้ถ้า Tesla และ SolarCity เป็นคนละบริษัทกัน (Tesla เพิ่งเสนอเข้าซื้อ SolarCity ไปเดือนก่อน) ขณะนี้ Tesla พร้อมแล้วที่จะขยายการผลิต Powerwall และ SolarCity ก็พร้อมที่จะผลิตแผงโซลาร์เซลล์ที่แตกต่างจากคนอื่นเช่นกัน ตอนนี้ถึงเวลาที่จะนำทั้งสองมารวมกันแล้ว

Tesla Powerwall ชาร์จไฟเก็บไว้ตอนกลางวัน เอามาใช้ตอนกลางคืน

ขยายตัวเพื่อให้ครอบคลุมการขนส่งทางบกส่วนใหญ่

ขณะนี้ Tesla มีคำตอบสำหรับรถเก๋งแบบพรีเมี่ยมและรถ SUV แล้ว (Model S และ X) แต่สองอย่างนี้ยังเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น ซึ่งการมาของ Model 3 จะช่วยให้ทำตลาดได้กว้างขึ้น โดย Elon บอกว่ารถยนต์ที่ราคาถูกกว่า Model 3 จะไม่จำเป็นแล้ว เหตุผลอยู่ในย่อหน้าถัดๆ ไป (ใครหวังว่าจะมี Tesla ราคาถูกมากๆ ก็อดไปนะครับ)

สิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับการเร่งการมาถึงของอนาคตที่ยั่งยืนคือต้องขยายความสามารถในการผลิตให้เร็วที่สุด เขาบอกว่า Tesla โฟกัสอย่างหนักไปที่การสร้างเครื่องจักรที่ผลิตเครื่องจักร พวกเขาต้องการเปลี่ยนตัวโรงงานเองให้เป็นสินค้า ทฤษฎีฟิสิกส์พื้นฐานด้านการผลิตยานพาหนะบอกไว้ว่าการพัฒนาไปอีก 5-10 เท่า (จากของเดิม) จะเกิดขึ้นที่เวอร์ชันที่ 3 หรือภายในรอบ 2 ปี ซึ่งขณะนี้โรงงานผลิต Model 3 อยู่ที่เวอร์ชัน 0.5 ซึ่งต้องรอถึงปี 2018 กว่าจะถึงเวอร์ชัน 1.0

นอกจากรถยนต์ที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว เรายังต้องการรถยนต์ไฟฟ้าอีก 2 ประเภท คือรถบรรทุกสำหรับงานหนัก (heavy-duty) และรถประเภทรถเมล์ที่จุคนได้มาก โดยทั้งสองอย่างยังอยู่ในขั้นแรกของการวิจัย และน่าจะพร้อมสำหรับการเปิดตัวภายในปีหน้า ซึ่ง Elon Musk เรียกรถบรรทุกไฟฟ้าว่า Tesla Semi เขาเชื่อว่ามันจะลดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งลงได้ ในขณะที่มีความปลอดภัยสูงขึ้น รวมถึงการควบคุมก็สนุกอีกด้วย

ส่วนเรื่องรถเมล์แบบใหม่ เขาบอกว่ามันเข้าท่าที่จะลดขนาดรถบัสในปัจจุบันลง แล้วเอาคนขับออกไปทำงานเป็นผู้ควบคุมกลุ่มยานพาหานะแทน (fleet manager) ปัญหารถติดน่าจะลดลง เนื่องจากรถจะเร่งและเบรคตามจังหวะการไหลของรถคันอื่นๆ (รถคันข้างหน้าขยับแล้วก็เคลื่อนตามทันที ไม่เว้นห่างหรือออกตัวช้า) อีกทั้งรถเมล์แบบใหม่นี้จะส่งผู้โดยสารทุกคนถึงจุดหมาย ไม่มีเส้นทางเดินรถตายตัว ใช้การเรียกรถผ่านแอพแทน (ระบบน่าจะคำนวณให้ว่าคนที่จะไปบริเวณนี้ควรส่งรถคันไหนมารับ) ส่วนคนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนก็สามารถกดปุ่มเรียกรถได้จากป้ายรถเมล์เช่นกัน อีกทั้งยังออกแบบให้รองรับวีลแชร์, รถเข็นเด็ก และจักรยานอีกด้วย

การขับอัตโนมัติ

เมื่อเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้า รถยนต์ Tesla ทุกคันจะติดตั้งฮาร์ดแวร์สำหรับการขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (fully self-driving) พร้อมความสามารถรองรับความล้มเหลวในระบบได้ (fail-operational capability) กล่าวคือถึงแม้จะมีระบบใดๆ ก็ตามในรถเกิดเสีย แต่รถจะยังสามารถขับต่อไปได้เองอย่างปลอดภัย Elon Musk ย้ำว่าการปรับแต่งซอฟต์แวร์จะใช้เวลานานกว่าการแค่เอากล้อง, เรดาร์, โซนาร์ และอุปกรณ์คิดคำนวณมาติดตั้งเข้ากับรถ

ถึงแม้ซอฟต์แวร์จะถูกปรับแต่งมาให้ทำงานได้ดีกว่ามนุษย์มากแล้ว เราก็ยังต้องรอให้รัฐรับรองการขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบอีกนานอยู่ดี ทาง Tesla คาดว่าหน่วยงานรัฐทั่วโลกต้องการเห็นผลงานการขับอัตโนมัติเป็นระยะทางถึง 6 พันล้านไมล์ หรือ 1 หมื่นล้านกิโลเมตรเลยทีเดียว โดยขณะนี้มีการเรียนรู้ของรถอยู่ที่ 5 ล้านกิโลเมตรต่อวัน

Elon ระบุว่าที่ Tesla เปิดระบบ Autopilot ให้ใช้กันตอนนี้เพราะเมื่อใช้งานอย่างถูกต้อง ก็ปลอดภัยมากกว่าการขับด้วยมือแล้ว รวมถึง Tesla จะไม่หยุดการใช้งาน Autopilot เพราะกลัวสื่อมวลชนแย่ๆ อีกด้วย

ตามรายงานของ National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) เมื่อปี 2015 ระบุว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ร้ายแรงถึงชีวิตเพิ่มขึ้น 8% คือเสียชีวิต 1 คนทุกๆ ระยะทาง 89 ล้านไมล์ ซึ่งสถิติของ Autopilot กำลังจะดีขึ้นเป็น 2 เท่าของตัวเลขนั้นและจะดีขึ้นทุกๆ วัน โดยเขาบอกว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะปิดระบบ Autopilot ดังที่มีคนพยายามเรียกร้อง เหมือนกับการที่เราไม่ควรเลิกใช้ระบบ Autopilot ในเครื่องบินนั่นเอง

นอกจากนี้ Elon ยังบอกว่าที่ Tesla ใส่คำว่า beta ให้กับระบบ Autopilot เพราะต้องการลด “ความคาดหวัง” ของลูกค้า และทำให้พวกเขาคิดว่าระบบยังพัฒนาต่อได้อีก ซึ่งจริงๆ แล้วระบบนี้ไม่ได้เป็นซอฟต์แวร์ขั้น beta อยู่แล้ว ก่อนการปล่อยอัพเดตจะมีการทดสอบภายในอย่างเข้มข้น และ Tesla จะปลดคำว่า beta ออกก็ต่อเมื่อสถิติทั้งหมดชี้ว่ามันปลอดภัยกว่ายานพาหนะในสหรัฐอเมริกา 10 เท่า

การแบ่งปัน

เมื่อการขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบถูกรับรองโดยหน่วยงานรัฐ แปลว่าเจ้าของรถจะสามารถเรียกรถให้ขับมาหาจากที่ไหนก็ได้ พอเราก้าวขึ้นรถ เราสามารถนอนหลับ, อ่านหนังสือ หรือทำอะไรก็ได้จนถึงจุดหมายปลายทาง

ในอนาคต Tesla จะจัดให้มีกลุ่มรถยนต์เพื่อการแบ่งปัน เจ้าของรถ Tesla ทุกคนสามารถเอารถตัวเองเข้าร่วมโครงการได้ผ่านแอพ และปล่อยให้รถสร้างรายได้โดยการวิ่งรับส่งคนขณะที่เราทำงาน, ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือเวลาใดๆ ที่ไม่ได้ใช้รถ เขาระบุว่าน่าจะสร้างรายได้ได้มากกว่าค่าผ่อนรถรายเดือนเสียอีก การทำแบบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของรถลงได้มาก จนถึงจุดที่เกือบทุกคนสามารถซื้อ Tesla มาใช้ได้ (ช่วงที่ไม่ใช้รถก็เอาไปวิ่งหาเงิน แล้วใช้เงินที่ได้มาไปช่วยผ่อนรถ) ซึ่ง Elon บอกว่าโดยปกติคนทั่วไปใช้รถเพียง 5-10% ของเวลาใน 1 วันเท่านั้น เอาเวลาที่ไม่ใช้ไปวิ่งหาเงินดีกว่า

สำหรับเมืองที่มีความต้องการสูงกว่าปริมาณรถที่มีคนเอารถเข้ามาร่วม ทาง Tesla จะจัดรถมาเสริมให้ด้วย

สรุป แผนการขั้นสุดยอด ตอนที่ 2 แยกได้เป็น 4 หัวข้อหลัก คือ

  1. สร้างโซลาร์เซลล์สำหรับบ้าน และรวมระบบเข้ากับแบตเตอรี่สำหรับเก็บไฟ
  2. ขยายไลน์การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมการขนส่งทางบกส่วนใหญ่
  3. พัฒนาระบบขับอัตโนมัติที่ปลอดภัยกว่าการขับเอง 10 เท่า ผ่านระบบเรียนรู้ด้วยตัวเอง (รถสอนรถ)
  4. ทำให้รถวิ่งหารายได้ให้เจ้าของตอนที่ไม่มีการใช้งาน

ผมอ่านแล้วคิดว่าหลังจากนี้เราคงไม่อาจเรียก Tesla ว่าเป็นบริษัทรถยนต์ได้อีกแล้วนะครับ

ที่มา - Tesla

บทความแนะนำอ่านเพิ่มเติม: แชร์ประสบการณ์ทดลองนั่ง Tesla Model S P90D ณ เมือง Stuttgart ประเทศเยอรมนี

Blognone Jobs Premium