แอปเปิลรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ตามปีการเงินบริษัท 2016 (เมษายน-มิถุนายน 2016) มีรายได้รวม 42,358 ล้านดอลลาร์ ลดลง 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน กำไรสุทธิอยู่ที่ 7,796 ล้านดอลลาร์ ลดลง 27% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 38% ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ 39.7%
แนวโน้มรายได้และกำไรที่ลดลงนี้ยังคงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ซีอีโอ ทิม คุก กล่าวว่าตัวเลขที่ออกมาถือว่าดีกว่าที่แอปเปิลประเมินไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะจากความสำเร็จของการเปิดตัว iPhone SE ช่วงที่ผ่านมา
ถึงแม้ภาพรวมรายได้จะลดลง แต่ธุรกิจบริการ (อินเทอร์เน็ต, Apple Care, Apple Pay) กลับมีรายได้เพิ่มขึ้นสวนทางถึง 19% โดยรายได้เฉพาะส่วน App Store ก็สูงสุดทำสถิติใหม่อีกด้วย
สำหรับยอดขายแยกเป็นรายผลิตภัณฑ์ iPhone ขายได้ 40.4 ล้านเครื่อง ลดลง 14.9% จากปีก่อน ขณะที่ iPad ขายได้ 9.95 ล้านเครื่อง ลดลง 8.7% และ Mac ขายได้ 4.25 ล้านเครื่อง ลดลง 11.5%
ในช่วงแถลงผลประกอบการกับนักวิเคราะห์นำโดย ทิม คุก และซีเอฟโอ Luca Maestri มีข้อมูลและมุมมองที่น่าสนใจหลายอย่างดังนี้ครับ
- iPhone SE ผลิตไม่พอขายตลอดช่วงไตรมาสที่ผ่านมา และขายดีในทุกกลุ่มประเทศ ทั้งยังช่วยให้แอปเปิลได้ฐานลูกค้าใหม่ที่ไม่มีมาก่อนเพิ่มขึ้นด้วย
- รายได้ App Store เติบโต 37% เป็นสถิติสูงสุดใหม่ โดยทิม คุก คาดว่าเฉพาะรายได้ของหมวดธุรกิจบริการ จะใหญ่เทียบเท่ากับบริษัทระดับ Fortune 100 ในปีหน้า
- iPad Pro พบว่าผู้ใช้ครึ่งหนึ่งซื้อเพื่อใช้ทำงานทดแทนพีซีเป็นหลัก
- การเปิดใช้ iPhone ในจีนเพิ่มขึ้นถึง 34%
- ยอดขาย iPhone ในอินเดียเพิ่มขึ้นถึง 51% และแอปเปิลจะเปิด Apple Store ที่นั่นแน่นอน
- สถิติพบว่า Contactless Payment ถึง 3 ใน 4 เป็นการจ่ายผ่าน Apple Pay
- ยอดขาย Mac ที่ลดลงนั้นสาเหตุหนึ่งจากปีที่แล้วมี Mac รุ่นใหม่ออกมาหลายตัว
- คุกอธิบายเหตุผลที่แอปเปิลลงทุนใน Didi ว่าเป็นการลงทุนที่ดี, ได้พันธมิตรธุรกิจ และสำคัญที่สุดคือช่วยให้แอปเปิลเรียนรู้ตลาดจีนได้ดีขึ้น
- iBook Store และ iTunes Movie ที่ถูกปิดในจีนไม่มีผลกระทบนัก เพราะทำรายได้ไม่มาก แต่แอปเปิลยังคงพูดคุยกับรัฐบาลจีนอยู่ตลอด
- เมื่อถามถึง AR ทิม คุก บอกว่ากระแสของ Pokémon Go นั้นเยี่ยมยอดมาก และแอปเปิลก็ลงทุนใน AR ต่อเนื่องเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาในอนาคตเช่นกัน (หมายเหตุ: เรื่องนี้เป็นประเด็นเล็กน้อยเพราะ ทิม คุก ออกเสียงว่า โป-กี-แมน)
ที่มา: แอปเปิล และ Business Insider