เป็นเวลาเกือบ 2 ปีที่ GoPro ไม่ได้ออกสินค้ามาทดแทน Hero 4 แต่ใช้วิธีการเพิ่มรุ่นย่อย และออกรุ่น Hero Session เพิ่มเติม จนวันนี้ถึงเวลาของหมายเลข 5 แล้ว จึงได้เปิดตัว Hero 5 Black และ Hero 5 Session พร้อมกัน 2 รุ่น และบริการคลาวด์อย่าง GoPro Plus (เป็นไปตามข่าวหลุด) ที่จะเข้ามาเติมเต็ม ecosystem ของ GoPro พร้อมๆ การรีแบรนแอปพลิเคชัน
จุดเด่นของ Hero 5 ทั้ง 2 รุ่น อยู่ที่การกันน้ำได้ลึกถึง 10 เมตร (33 ฟุต) โดยไม่ต้องพึ่งพาเคสกันน้ำอีกต่อไป ถ่ายวิดีโอ 4K สูงสุดที่ 30 เฟรมต่อวินาที บันทึกเสียงแบบสเตอริโอ ถ่ายวิดีโอแบบ Time Lapse ถ่ายภาพนิ่งต่อเนื่องสูงสุด 30 ภาพต่อวินาที ระบบการสั่นแบบอิเล็กทรอนิกระดับโปรเฟสชันเนล (แม้ Sony จะออก Action Cam ที่มากับระบบกันสั่นแบบกลไก) และรองรับการสั่งงานด้วยเสียงได้ 7 ภาษา (ในตอนนี้)
Hero 5 Black มาพร้อมกับกล้อง 12 ล้านพิกเซล บันทึกภาพเป็นไฟล์ RAW และถ่ายวิดีโอแบบ WDR (Wide Dynamic Range) ถ่ายวิดีโอความละเอียด 1440p สูงสุดที่ 80 เฟรมต่อวินาที และความละเอียด 1080p สูงสุดที่ 120 เฟรมต่อวินาที หน้าจอสัมผัสขนาด 2 นิ้ว และ GPS ส่วนเมนูการใช้งานลดปุ่มกดสั่งงานเหลือปุ่มเดียวเพื่อให้ใช้งานง่าย
สำหรับ Hero 5 Session ตัวเล็กสเปกเบา มากับกล้อง 10 ล้านพิกเซล ถ่ายวิดีโอความละเอียด 1440p สูงสุดที่ 60 เฟรมต่อวินาที และความละเอียด 1080p สูงสุดที่ 90 เฟรมต่อวินาที แต่ไม่มีความสามารถอื่นๆ เหมือนกับ Hero 5 Black ด้านบนมี
นอกจากนี้ GoPro ได้ชูโซลูชัน GoPro Plus บริการคลาวด์สำหรับการเก็บภาพถ่ายและวิดีโอ ตัวกล้องจะทำการอัปโหลดภาพและวิดีโอโดยอัตโนมัติเมื่อชาร์จแบตเตอรี่ ผู้ใช้จึงจะสามารถเข้าถึงรูปภาพผ่านทางแอปปรับแต่งรูปภาพ Quik และ Splice รวมถึงแอป GoPro ที่รีแบรนเป็น Capture ทั้งในมือถือและเดสก์ท็อป อย่างไรก็ตามผู้ใช้จะไม่สามารถปรับแต่งรูปภาพอย่างต่อเนื่องจากอุปกรณ์คนละตัวได้ ต้องดาวน์โหลดไฟล์มาเก็บมาก่อนจึงจะสามารถปรับแต่งได้
กล้องทั้ง 2 รุ่นจะเริ่มวางขายในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ Hero 5 Black ที่ 399 เหรียญ และ Hero 5 Session ที่ 299 เหรียญ ส่วนบริการ GoPro Plus จะเปิดให้บริการในวันที่ 29 กันยายนนี้ จะได้รับสิทธิในการเข้าถึงคลังเพลง ส่วนลด 20% สำหรับการซื้ออุปกรณ์เสริม เสื้อผ้าจาก GoPro และการดูแลช่วยเหลือพิเศษกว่าปกติ คิดค่าบริการที่ 4.99 เหรียญต่อเดือน