เมื่อวันพุธที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ไฟดับเป็นวงกว้างที่รัฐ South Australia ประเทศออสเตรเลีย สาเหตุเกิดจากพายุหนักชนิดที่ว่าเกิดขึ้นครั้งเดียวในรอบ 50 ปี โดยสายไฟฟ้าแรงสูงเริ่มเสียหายบางส่วนและเกิดเป็นลูกโซ่ต่อๆ กันไปจนไฟดับเกือบทั้งรัฐในเวลาราว 15:50 นาฬิกาตามเวลาท้องถื่น
ทางการได้เร่งดำเนินการจนสามารถส่งไฟฟ้าให้กับเมือง Adelaide ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐได้ในช่วง 22 นาฬิกาของวันเดียวกัน แต่ในพื้นที่อื่นอย่าง Mid North และ Eyre Peninsula ก็ยังประสบปัญหา และไม่มีไฟฟ้าใช้กันเกิน 24 ชั่วโมง
เวลาผ่านไปเกือบสองวัน ในช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 30 กันยายน ก็ยังมีสิ่งปลูกสร้างถึง 10,000 หลังคาเรือนที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ และทางการต้องตั้งเสาส่งไฟฟ้าชั่วคราวมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน
ปัญหานี้สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง และผู้คนเริ่มหาทางเลือกอื่นเพื่อป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ โดยบริษัท Off-Grid Energy Australia เปิดเผยว่าพวกเขาได้รับการติดต่อและคำถามต่างๆ เกี่ยวกับแบตเตอรี่สำหรับบ้าน Tesla Powerwall เข้ามามากกว่าปกติถึง 30 เท่า โดยผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทฯ Emily McMahon เปิดเผยว่า "ผู้คนกำลังเบื่อหน่ายกับเครือข่ายไฟฟ้าในภาพรวม และราคาไฟฟ้าที่แพง"
Tesla Powerwall เป็นแบตเตอรี่ขนาดใหญ่สำหรับบ้านทั้งหลัง โดยทั่วไปจะติดตั้งคู่กับแผงโซลาร์เซลล์เพื่อชาร์จไฟเก็บไว้ในเวลากลางวัน ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีคนอยู่บ้าน และนำมาใช้ในช่วงกลางคืน จึงทำให้แทบจะไม่ต้องใช้ไฟฟ้าจากเครือข่ายปกติเลย การทำแบบนี้เรียกว่า "off-grid" หรือ "นอกเครือข่าย"
การติดตั้ง Tesla Powerwall สามารถทำได้ตามความต้องการของเจ้าของบ้าน เช่นหากบ้านใหญ่หรือใช้ไฟฟ้าเยอะ ก็อาจติดตั้งได้มากกว่า 1 ลูก หรือติดเพียง 1 ลูกเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าจากเครือข่ายปกติ โดยซอฟต์แวร์จะคำนวณและจัดการการใช้ไฟฟ้าให้อัตโนมัติ ผู้ใช้สามารถเข้าดูสถานะและรายงานต่างๆ ผ่านแอพได้ทันที
ราคา Tesla Powerwall 1 ลูกอยู่ที่ 3,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 80,000 บาท) และเมื่อติดตั้งพร้อมกับแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 5 กิโลวัตต์ บวกกับค่าแรงต่างๆ แล้ว จะอยู่ที่ 20,000 ถึง 25,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 5.38 ถึง 6.73 แสนบาท) สำหรับระบบเต็ม พร้อมรับประกัน 10 ปี
คลิปแถม ฟังประสบการณ์จากผู้ใช้ Tesla Powerwall ที่สหราชอาณาจักร โดยสรุปคือคนแรกในคลิปใช้ไฟฟ้าจากเครือข่ายภายนอกเพียง 3% ต่อวันเท่านั้น