หลังประสบความสำเร็จกับ Samsung Gear S2 ไปเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้ซัมซุงกลับมาต่อยอดความสำเร็จกับเทคโนโลยีบนข้อมืออีกครั้งกับ Gear S3 ที่ออกมาสองรุ่นเช่นเดิมคือ Gear S3 Classic และ S3 Frontier
บทความรีวิวนี้เป็นรุ่น Gear S3 Classic (ต่อไปจะเรียกสั้นๆ ว่า Gear S3) ที่เน้นความหรูหรา เรียบง่าย แต่ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง GPS ในตัวสำหรับการติดตามตัว, ลำโพงสำหรับพูดคุยโทรศัพท์และฟังเพลง และแบตเตอรี่ที่อยู่ได้นานถึง 4 วัน พร้อมมาตรการ IP68 กันน้ำกันฝุ่นเช่นเดิม
Gear S3 ยังคงรูปลักษณ์เดิมคือหน้าปัดกลม ขณะที่ตัวเรือนเป็นโลหะกล้าไร้สนิม (stainless steel)
ด้านขวาของตัวเรือนเป็นปุ่มฟังก์ชัน 2 ปุ่ม พร้อมไมโครโฟนเล็กๆ สำหรับการคุยโทรศัพท์และสั่งงาน S Voice ผ่าน Gear S3 ขณะที่ขอบนอกของหน้าปัด สามารถหมุนได้เพื่อสั่งงานรูปแบบต่างๆ
ด้านซ้ายเป็นลำโพง
ด้านล่างเป็นเซ็นเซอร์ Accelerometer, Gyro, Barometer, Ambient Light และ Heart-rate Monitor
สำหรับสายนาฬิกาของ Gear S3 เป็นสายหนังแท้ (Genuine Leather) สีดำ สวยงามเข้ากับตัวเรือนโลหะ
สเปคเต็ม Gear S3
Gear S3 มีหน้าจอหลักอยู่ที่หน้าบอกเวลา สามารถเปลี่ยนหน้าปัดได้จากทั้งตัว Gear S3 เองหรือผ่านแอพ Samsung Gear ก็ได้
ปกติแล้วหน้าจอจะดับเป็นส่วนใหญ่เมื่อไม่ได้ใช้งาน หากเรายกข้อมือขึ้นมา Gear S3 จะตื่นขึ้นมาแสดงหน้านาฬิกาให้อัตโนมัติ หรือเราสามารถเปิดโหมด Always-on ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ในรุ่นนี้ได้ ทำให้ตัว Gear S3 แสดงนาฬิกาตลอดเวลา
ขณะที่หากปัดไปด้านซ้าย หรือหมุน bezel ของนาฬิกาไปด้านซ้าย จะเป็นหน้าแจ้งเตือน ซึ่งสามารถเปิดอ่านข้อความทั้งหมดได้ หรือปัดขึ้นเพื่อลบทิ้ง
ส่วนตัวเลือกด้านขวาเป็นวิดเจ็ตของแอพต่างๆ อย่างปฏิทิน อุณหภูมิ แจ้งเตือน หรือด้านสุขภาพอย่างจำนวนก้าวที่เดิน แคลอรีที่เบิร์นไป เป็นต้น
ปุ่มด้านบนเป็นปุ่มถอยกลับ (back) ส่วนด้านล่างเป็นทั้งปุ่ม App Drawer และปุ่มกลับสู่หน้าโฮม
ส่วนฟังก์ชันอย่างการจับเวลายังคงมีอยู่ ด้วยการกดที่หน้านาฬิกา 2 ครั้ง
ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ SOS Service สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ สามารถกดปุ่มโฮม 3 ครั้ง ระบบจะส่งการแจ้งเตือนผ่าน SMS พร้อมตำแหน่งที่อยู่ไปยังเลขหมายปลายทางที่กำหนดไว้ ผ่านแอพ Samsung Gear ซึ่งตำแหน่งโลเคชันนี้จะสามารถติดตามต่อเนื่องได้ราว 1 ชั่วโมง
สำหรับการใช้งานทั่วไป Gear S3 ยังคงใช้หน้าจอ Super AMOLED ทำให้สามารถสู้แสงและสามารถมองเห็นได้ชัดเจนกลางแจ้ง
ตัว Gear S3 รองรับการพูดคุยโทรศัพท์ผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth กับสมาร์ทโฟน เนื่องจากมีทั้งไมโครโฟนและลำโพงในตัว อย่างไรก็ตามการพูดคุยโทรศัพท์ผ่าน Gear S3 เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ปิดหรือ Indoor มากกว่าในพื้นที่กลางแจ้งที่มีเสียงรบกวนเยอะ
Gear S3 มาพร้อม S Voice ภายในตัวที่รองรับคำสั่งเสียงจากผู้ใช้ สามารถเปิดได้ทั้งจากการกดปุ่มโฮม 2 ครั้ง หรือพูด Hi Gear ใส่นาฬิกาก็ได้เช่นกัน โดยตัว S Voice สามารถจับคำสั่งเสียงได้ค่อนข้างชัดเจน แม้จะมีเสียงรบกวนระดับหนึ่งก็ตาม
ทั้งนี้ Gear S3 จะต้องเชื่อมต่อบลูทูธกับสมาร์ทโฟน หรือเชื่อมต่อ Wi-Fi จึงจะสามารถใช้งาน S Voice ได้
แน่นอนว่าด้วยความที่มาพร้อมกับสารพัดเซ็นเซอร์ Gear S3 ย่อมรองรับฟีเจอร์ด้านสุขภาพ ผ่านแอพ S Health ของซัมซุงเอง ไม่ว่าจะการนับก้าวเดินหรือขึ้นบันได คำนวนแคลอรี และแน่นอนว่าฟังก์ชันด้านการออกกำลังกายอื่นๆ ก็มีมาให้หมดทุกประเภท
Gear S3 มาพร้อมกับแบตเตอรีขนาด 380 mAh สามารถใช้งานได้นานถึง 4 วันเต็ม รูปแบบการใช้งานก็มีเพียงการเชื่อมต่อบลูทูธ แสดงนาฬิกาและการแจ้งเตือนเท่านั้น (จำนวนวันอาจแตกต่างกันไปตามแต่ไลฟ์สไตล์การใช้งาน)
หากเปิดโหมด Always-on ที่แสดงหน้าจอตลอดเวลา ความอึดของแบตเตอรีลดเหลือประมาณ 2 วันครึ่งถึง 3 วันเท่านั้น
ส่วนแท่นชาร์จไร้สายยังคงหน้าตาเหมือนกับที่มาพร้อมรุ่น Gear S2 เพียงแต่ขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย และใช้เวลาชาร์จจาก 0% - 100% ราว 2-3 ชั่วโมง เท่านั้น
Gear S3 นับว่าเป็นการปรับปรุงที่ดีขึ้นมาก สำหรับสมาร์ทวอทช์ในตระกูล Gear S ของซัมซุง โดยเฉพาะรูปลักษณ์หน้าตาที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดว่า มีใกล้เคียงกับรูปลักษณ์ของนาฬิกาอะนาล็อกที่หรูหรามากยิ่งขึ้น แม้แต่รุ่น Gear S3 Frontier ที่เป็นแนวสปอร์ตก็ดูสวยงามและดึงดูดมากยิ่งขึ้น ไม่นับฟีเจอร์ต่างๆ ที่ใช้งานได้จริง ที่อัดแน่นเอาไว้ในหน้าจอกลมขนาด 1.3 นิ้วนี้