ปกติแล้วเวลาเราทดสอบคุณภาพของเครือข่ายด้วยเว็บไซต์อย่าง Speedtest เรามักให้ความสนใจไปที่ตัวเลขความเร็วในการดาวน์โหลดเป็นหลัก จากนั้นเราอาจสนใจตัวเลขฝั่งอัพโหลดควบคู่กันไป แต่จริงๆ แล้ว Speedtest ยังมีตัวเลขที่สำคัญอีกตัวคือ latency หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ ping
คนทั่วไปมักพูดถึงตัวเลขดาวน์โหลด/อัพโหลดว่า "ความเร็ว" (speed) แต่แท้ที่จริงแล้ว ในโลกของเครือข่าย ต้องบอกว่ามันคือตัวเลขที่บอกว่าเครือข่ายสามารถส่งข้อมูลได้ "ปริมาณมาก" แค่ไหน (ภาษาอังกฤษคือ throughput) ถ้าเปรียบกับท่อส่งน้ำ ก็คือตัวเลขที่บอกว่าท่อมีขนาดใหญ่หรือไม่ หน่วยการวัด throughput คือ Mbps
ส่วนตัวเลขที่แท้จริงที่บอกว่าเครือข่ายเร็วแค่ไหนคือ latency หรือระยะเวลาที่ใช้ส่งแพ็กเก็ตข้อมูลจากอุปกรณ์ของเราไปยังเซิร์ฟเวอร์ปลายทาง มีหน่วยวัดเป็นมิลลิวินาที (ms) ตัวเลขนี้ยิ่งน้อยยิ่งดี แปลว่าการตอบสนองยิ่งรวดเร็ว
คนที่เล่นเกมออนไลน์คงคุ้นเคยกับตัวเลขนี้ เพราะค่า ping น้อยแปลว่าคำสั่งบนพีซีหรือสมาร์ทโฟน ถูกส่งไปถึงเซิร์ฟเวอร์ที่ปลายทางเร็ว เล่นเกมไม่แล็กไม่หน่วง แต่นอกจากแวดวงของเกมแล้ว ค่า latency น้อยก็เป็นประโยชน์กับแอพพลิเคชันทุกรูปแบบ เช่น ดูวิดีโอไม่สะดุด คุยวิดีโอคอลล์ไม่กระตุก เล่นเกมไม่แล็ก เป็นต้น
AIS ประกาศวิสัยทัศน์ของตัวเองในงาน AIS Vision 2017 ว่าต้องกาารเป็นเครือข่ายที่ดีที่สุด เร็วที่สุด แรงที่สุด และ ครอบคลุมมากที่สุด ทำให้ AIS มีการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพของเครือข่ายให้ดีขึ้นตลอดเวลา
คนทั่วไปมักเปรียบเทียบกันว่า เน็ตของค่ายไหนเร็วกว่ากันในแง่อัตราการดาวน์โหลด-อัพโหลด แต่ในแง่ของ latency ทาง AIS ก็ไม่ได้เพิกเฉย และทำทุกอย่างเพื่อให้ลดค่า latency ให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
การปรับปรุงค่า latency ในทางเทคนิคแล้วคือการลดจำนวนจุด (hop) ของการส่งต่อแพ็กเก็ตข้อมูลให้น้อยที่สุด ในแง่ของการสื่อสารไร้สายก็มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ เช่น
ผลของการพัฒนาอยู่เสมอนี้ ส่งผลให้ AIS Super Wi-Fi สามารถลดค่า latency ให้ลงมาเหลือได้เพียง 4 ms ซึ่งถือว่าเร็วมากแล้ว ส่วนบริการ AIS 4G จะมีค่า latency มากกว่าเนื่องจากข้อจำกัดทางทฤษฎีของเครือข่าย LTE ที่มีค่า latency มากกว่า Wi-Fi เป็นปกติอยู่แล้ว