กสทช. ร่วมเป็นคนกลาง ให้ Huawei ทดสอบสเปกฮาร์ดแวร์ P10 ต่อหน้ากลุ่มผู้ใช้งาน

by mk
26 April 2017 - 11:09

จากกรณี Huawei P10/P10 Plus ทาง กสทช. โดยนายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน เปิดเผยว่าตัวแทนของ Huawei ประเทศไทยได้เข้ามาชี้แจงกับ กสทช. แล้ว โดยมีประเด็นดังนี้

  • สเปกของแรม Huawei ยืนยันว่าทั้ง Mate 9/P10 ใช้ชิป Kirin960 ที่ไม่รองรับแรมแบบ LPDDR3 ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะพบแรมรุ่นนี้แทนแรมแบบ LPDDR4 แต่ที่เป็นข่าวเพราะการใช้แอพตรวจรุ่นของหน่วยความจำ อาจมีความผิดพลาดได้
  • สเปกของหน่วยความภายใน กรณีของ Mate 9 และ P10 แยกกันเป็นคนละปัญหา ดังนี้
    • P10 บริษัทยืนยันว่าไม่เคยโฆษณาว่าใช้หน่วยความจำแบบ UFS 2.1 และมีนโยบายใช้หน่วยความจำจากหลายผู้ผลิต โดยมีกระบวนการควบคุมมาตรฐานคุณภาพ ถือว่าบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงสเปกเครื่องจากที่โฆษณาไว้
    • Mate 9 บริษัทยอมรับว่าโฆษณาว่าใช้ UFS 2.1 จริง และยืนยันว่า Mate 9 ทุกรุ่นเป็นไปตามมาตรฐานนี้ และพร้อมพิสูจน์ตัวเอง ส่วนการถอดข้อความ UFS 2.1 ออกจากเว็บไซต์ Mate 9 เป็นการดำเนินการของสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ

หลังตัวแทนของ Huawei ชี้แจงแล้ว นายประวิทย์ ขอให้บริษัทส่งหลักฐานเป็นเอกสารเทคนิคของชิป Kirin960 ว่าไม่รองรับ LPDDR3 จริง ส่วนกรณี P10 ขอให้หาบริษัทผู้เชี่ยวชาญหรืออุปกรณ์เป็นกลางในการตรวจสอบ และ กสทช. จะพิจารณาความน่าเชื่อถือของเครื่องมือ เพื่อร่วมกันพิสูจน์ต่อหน้ากลุ่มผู้ใช้งานต่อไป

“หมอลี่” เผยกำลังเร่งหัวเว่ยเปิดหลักฐานปมสเป็กมือถือ

ตามที่เป็นข่าวว่าผู้ใช้มือถือหัวเว่ย Mate 9 และ P10 ตรวจพบว่าหน่วยความจำในเครื่องของตัวเองไม่ตรงกับสเป็กที่ทางหัวเว่ยโฆษณาไว้นั้น ล่าสุด “หมอลี่” หรือ นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน เผยว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ทางตัวแทนหัวเว่ยได้เข้ามารายงานปัญหาให้ทราบแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือหัวเว่ยจะต้องแสดงหลักฐานว่าข้อชี้แจงนั้นเป็นจริงหรือไม่

ทั้งนี้ “หมอลี่” เปิดเผยว่า ตัวแทนบริษัทฯ ชี้แจงว่า เรื่องที่กำลังเป็นประเด็นปัญหาของโทรศัพท์มือถือรุ่น Mate 9 และ P10 นั้น เป็นปัญหาคนละลักษณะกัน โดยยืนยันว่าในส่วนของ LPDDR4 นั้น ไม่มีปัญหาในทั้งสองรุ่นอย่างแน่นอน เพราะทั้งสองรุ่นใช้ชิพ Kirin960 ซึ่งไม่รองรับ LPDDR3 จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพบปัญหานี้ แต่ที่ปรากฏเป็นข่าวเพราะผู้ใช้งานกลุ่มหนึ่งใช้แอพตรวจหารุ่นของหน่วยความจำ ซึ่งบางแอพมีข้อจำกัดทางเทคนิค ทำให้รายงานผลผิดพลาด ไม่ใช่บริษัทใช้หน่วยความจำผิดรุ่น

ส่วนในประเด็นหน่วยความจำภายในของโทรศัพท์มือถือรุ่น P10 นั้น ทางตัวแทนหัวเว่ยระบุว่า ตั้งแต่วางจำหน่ายบริษัทไม่เคยประกาศหรือโฆษณาว่าใช้มาตรฐาน UFS 2.1 เท่านั้น เพราะบริษัทมีนโยบายใช้หน่วยความจำจากหลายผู้ผลิต ที่ผ่านมาตรฐานคุณภาพ ไม่ได้มีการเปลี่ยนสเป็กเครื่องแต่อย่างใด ต่างจากเครื่องรุ่น Mate 9 ที่บริษัทยอมรับว่ามีการระบุในส่วน ROM UFS 2.1 จริง และยืนยันว่าเครื่อง Mate 9 ทุกเครื่องเป็นไปตามมาตรฐานนี้ ตรงกับที่บริษัทโฆษณาไว้จริง และความเร็วการอ่านข้อมูลของมาตรฐาน UFS 2.0 และ UFS 2.1 ไม่ต่างกันตามเอกสารของ JEDEC ส่วนที่แตกต่างกันชัดเจนเป็นคุณสมบัติอื่น เช่น ความปลอดภัยของข้อมูล การอัพเดทการตรวจสอบสถานะของเครื่อง หรือคุณสมบัติอื่นๆ แอพวัดความเร็วของข้อมูลที่กลุ่มผู้ใช้งานนำมาทดสอบแล้วสรุปว่า ความเร็วเท่าไรเป็น UFS 2.0 ถ้าเร็วกว่านี้เป็น UFS 2.1 ไม่ใช่ตัวตัดสินได้อย่างแท้จริง ต้องใช้อุปกรณ์มาตรฐานในการตรวจสอบ

สำหรับการถอดข้อความเกี่ยวกับ UFS 2.1 ในหน้าเว็บของรุ่น Mate 9 ทางตัวแทนบริษัทฯ อ้างว่าเป็นการดำเนินการของสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ ไม่ใช่เพื่อปกปิดข้อมูล แต่เป็นเพราะบริษัทไม่เคยระบุข้อความทำนองนี้ในเครื่องรุ่น P10 แล้วทำให้ผู้ใช้งาน P10 รู้สึกถึงความไม่เหมือนกันของข้อมูลกับรุ่นที่ตนใช้ บริษัทจึงพยายามปรับการนำเสนอข้อมูลทั้งสองรุ่นในลักษณะเดียวกัน ไม่ได้คาดคิดว่าจะทำให้เกิดข้อสงสัยมากมายดังที่เกิดขึ้นนี้ ซึ่งบริษัทพร้อมจะพิสูจน์ว่าเครื่อง Mate 9 ทุกตัวได้มาตรฐาน UFS 2.1 ตามที่เคยแจ้งไว้ก่อนแล้ว

“อย่างไรก็ดี ภายหลังรับฟังคำชี้แจงแล้ว ผมก็ได้ขอให้บริษัทส่งหลักฐานข้อกำหนดทางเทคนิคของชิพ Kirin960 ว่าเป็นไปตามที่บริษัทชี้แจงหรือไม่ และวิธีการตรวจสอบหรือรหัสรุ่นของหน่วยความจำที่บริษัทใช้เพื่อยืนยันอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งขอให้บริษัทหาผู้เชี่ยวชาญหรืออุปกรณ์ที่เป็นกลางที่ใช้ในการตรวจสอบ ให้ กสทช. พิจารณาความน่าเชื่อถือของเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ร่วมกันพิสูจน์ต่อหน้ากลุ่มผู้ใช้งานที่เกิดความสงสัยให้ได้ความจริงต่อไป หากตรวจสอบแล้วไม่พบ UFS 2.0 ปัญหาก็จะได้ยุติ” นายประวิทย์กล่าว

นอกจากการขอให้ทางหัวเว่ยส่งหลักฐานและพิสูจน์ความถูกต้องแล้ว นายประวิทย์ยังได้มอบหมายให้ทางสำนักงาน กสทช. ตรวจสอบคำขอรับรองมาตรฐานในส่วนแคตตาล็อกและข้อกำหนดทางเทคนิคของทั้งสองรุ่นที่บริษัทเคยยื่นมา ว่าตรงกับคำชี้แจงของบริษัทหรือไม่ เพราะอยู่ในอำนาจหน้าที่โดยตรงของสำนักงาน กสทช. หากตรงกันก็ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม แต่หากไม่ตรงก็จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียดและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

Blognone Jobs Premium