หลังจากที่ทรัมป์ทวีตว่าเขาจะแถลงการตัดสินใจเกี่ยวกับ 'ข้อตกลงปารีส' (Paris Accord) วันนี้ ผู้คนก็คาดการณ์กันว่าทรัมป์เตรียมเอาสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงนี้แน่
แถมก่อนหน้าที่จะทวีตข้อความนี้เพียง 1 อาทิตย์ บรรดาวุฒิสมาชิกจากรีพับลิกันราว 22 คนก็พร้อมใจกันเชียร์ทรัมป์ให้ออกเช่นกัน
เมื่อมีข่าวทรัมป์เตรียมออกจาก 'ข้อตกลงปารีส'แพร่สะพัดไปทั่ว คนดังอย่าง Elon Musk ก็ทวีตข้อความในเรื่องนี้
Elon Musk ระบุ เขายังไม่รู้ว่าการตัดสินใจของทรัมป์เกี่ยวกับ 'ข้อตกลงปารีส' เป็นอย่างไร แต่เขาก็ได้พยายามให้คำปรึกษาทุกช่องทางแล้ว จากนั้นก็มีคนถาม Musk อีกว่า "จะทำยังไง ถ้าทรัมป์ตัดสินใจออก?"
Musk บอก เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากออกจากการเป็นที่ปรึกษาให้กับทำเนียบขาวเช่นกัน
หากเทียบเสียงสนับสนุนระหว่าง 2 พรรค ฝั่งเดโมแครตสนับสนุนให้ทรัมป์ทำตามข้อตกลงนี้มากกว่า ส่วนรีพับลิกันมีเสียงแตกเพียงเล็กน้อย
'ข้อตกลงปารีส' (Paris Accord) คืออะไร ?
'ข้อตกลงปารีส' ที่ทรัมป์ทวีตถึง หรือ 'ความตกลงปารีส' (Paris Agreement) นี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ประชาคมโลกตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จึงนำไปสู่ความพยายามที่จะเจรจาเพื่อกำหนดข้อตกลงต่างๆ ร่วมกัน เมื่อปีที่แล้ว วันที่ 30 พฤศจิกายน - 11 ธันวาคมนั้น มีการเจรจาระหว่างผู้นำประเทศจาก 196 ประเทศทั่วโลกหาทางตกลงกันเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากประเทศสมาชิกทั่วโลก เพื่อลดผลกระทบที่มาจากวิกฤตโลกร้อนและป้องกันภัยพิบัติร้ายแรง
สาระสำคัญของการประชุมนั้น มีทั้งความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้อุณภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส หลายประเทศเห็นชอบร่างข้อตกลงดังกล่าว โดยข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้ในปี 2020 จะมีการจัดหาเงินร่วมกันเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาด้วย
สหรัฐฯ ร่วมลงนามในข้อตกลงปารีสตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2016 ให้สัตยาบันในวันที่ 3 กันยายน 2016
การที่ Trump จะออกจาก 'ข้อตกลงปารีส' กระทบต่อ Elon Musk อย่างไร ?
Musk เคยกล่าวไว้ว่า ที่เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเป็นคณะที่ปรึกษาให้แก่รัฐบาลทรัมป์ ก็เพราะว่าเขาต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลกให้ไปสู่การใช้พลังงานอย่างยั่งยืนซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจของเขาด้วย เขายืนยันว่า เขาเข้ามานั่งเก้าอี้นี้ก็เพราะเขาต้องการจะผลักดันเรื่องภาษีคาร์บอนด้วย (cartbon tax) เรื่องนี้ Musk เห็นดีเห็นงามกับ Rex Tillerson รัฐมนตรีต่างประเทศของทรัมป์ เพราะ Tillerson ก็เห็นด้วยกับภาษีคาร์บอนเช่นกัน
ที่มา - The New York Times, ABC News, The Register, The Paris Agreement, Business Insider