คำวินิจฉัยของศาลฎีกาสหรัฐฯ พิจารณาคดี Lexmark International, Inc. ที่พยายามเรียกร้องให้มีการยุติการนำสินค้าของ Lexmark ที่เป็นตลับหมึกปรินเตอร์มาทำใหม่ แล้วขายตัดราคา คำตัดสินคดีนี้ไม่ได้กระทบแค่เพียงบริษัท Lexmark แต่ยังรวมถึงผู้ผลิตพรินเตอร์รายอื่น เช่น HP และ Canon ด้วย
คำตัดสินนี้ ประธานศาลฎีกา นาย John Roberts ระบุว่า ผู้ขายสินค้าต้องสิ้นสิทธิ หรือ ถูกระงับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ถึงแม้ว่าจะมีการตกลงกับผู้ซื้อแล้วว่าผู้ซื้อจะไม่ขายสินค้าต่อให้ผู้อื่น กฎนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการขายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมยาและการเกษตรต่างก็เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของบริษัท Lexmark โดยเฉพาะอุตสาหกรรมทางการแพทย์ที่เกรงว่า จะมีการนำ ‘สายหรือท่อที่สอดเข้าไปในหัวใจ’ นำกลับมาใช้ใหม่
ข้อพิพาทระหว่างบริษัท Lexmark, Inc. กับ บริษัท Impression Products Inc. เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัท Lexmark อ้างว่าบริษัท Impression ละเมิดสิทธิบัตรของตน เพราะบริษัท Impression ไปซื้อตลับหมึกมา และเติมหมึกใหม่เพื่อนำมาขายต่อ
ศาลฎีกาอธิบายกรณีนี้ว่า
สิทธิบัตรของเจ้าของ เมื่อขายสินค้าออกไปแล้ว สินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะจำกัดการผูกขาดของเจ้าของ หมายความว่า สิทธิที่มีอยู่ในตัวสินค้าจะตกเป็นของผู้ซื้อสินค้า สิทธิและประโยชน์ที่พึงได้จะเป็นของเจ้าของสินค้า กล่าวคือ ใครก็ตามที่ซื้อสินค้าจะสามารถนำไปใช้และขายต่อได้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายสิทธิบัตรอีกต่อไป มีอิสระที่จะนำไปกระทำการใดๆ ในเชิงพาณิชย์ก็ย่อมได้
ศาลเน้นให้เห็นว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะทำสินค้า ขายสินค้าและใช้สินค้านั้นๆได้ เพื่อจำกัดภาวะผูกขาดที่มีต่อตัวสินค้า เหตุผลของศาลอ้างจากมาตรา 1201
ภาพการทำงานของบริษัท Impression Products
ที่มา - Bloomberg, Electronic Frontier Foundation, Supreme Court ruling in Impression Products v. Lexmark International, Foss Patents, การนำหลักการระงับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้กับกฎหมายลิขสิทธิ์