รีวิว Surface Pro (2017) ประสบการณ์แท็บเล็ตชั้นเลิศ ที่แลกมาด้วยค่าตัวไม่ธรรมดา

by mk
8 September 2017 - 08:12

ปีนี้ไมโครซอฟท์เปิดตัว Surface Pro รุ่นที่ห้า (ที่ไม่เรียกว่า Surface Pro 5) ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจาก Surface Pro 4 ไม่เยอะนัก อย่างไรก็ตาม มันยังถือเป็นผลิตภัณฑ์หลักของแบรนด์ Surface ที่ช่วงหลังเริ่มมีอุปกรณ์แขนงใหม่ๆ อย่างเดสก์ท็อป (Surface Studio) หรือโน้ตบุ๊ก (Surface Book/Laptop) เพิ่มเข้ามาด้วย

Surface Pro (2017) (บ้างก็เรียก New Surface Pro หรือ Surface Pro 5th Gen) เพิ่งเริ่มวางขายในไทยเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่ง Blognone ก็ได้รับเครื่องรีวิวจากไมโครซอฟท์ประเทศไทยมาใช้งานประมาณหนึ่งสัปดาห์

หมายเหตุ: Surface รุ่นที่ได้รับมารีวิวเป็นรุ่นกลาง Core i5, SSD 256GB, แรม 8GB ราคาอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 49,900 บาท แต่ไมโครซอฟท์ก็ยังมีรุ่นล่างที่ใช้ Core m3 และรุ่นบนที่ใช้ Core i7 ด้วย

มีอะไรใหม่ใน Surface Pro (2017)

หากให้เดาสาเหตุที่ไมโครซอฟท์ไม่เรียก Surface Pro รุ่นประจำปี 2017 ว่าเป็น Surface Pro 5 อาจเป็นเพราะมันมีความแตกต่างจาก Surface Pro 4 ไม่เยอะนัก (จะเรียก Surface Pro 4.1 หรือ 4.5 ก็กระไร) อีกทั้งอุปกรณ์ในฟอร์มแฟกเตอร์แบบนี้ ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกมากแล้ว (นับจากการเปลี่ยนใหญ่ครั้งสุดท้ายตอน Surface Pro 3) ทำให้สถานการณ์ของมันจะคล้ายกับ iPad ที่ช่วงหลังแอปเปิลก็เลิกนับเลขรุ่นเช่นกัน

สิ่งที่ Surface Pro (2017) พัฒนาขึ้นจาก Surface Pro 4 มีดังนี้

  • ปรับสเปกมาใช้ซีพียู Intel Core 7th Gen (Kaby Lake) จากของเดิมที่ใช้ Core 6th Gen (Skylake)
  • รุ่นที่เป็น Core i5 ไม่ต้องมีพัดลม (fanless) เหลือแต่รุ่นที่เป็น Core i7 เท่านั้นที่ยังต้องใช้พัดลม
  • อุปกรณ์เสริม (ซื้อแยก) คีย์บอร์ด Type Cover ที่ใช้วัสดุเป็นผ้า Alcantara
  • อุปกรณ์เสริม (ซื้อแยก) ปากกา Surface Pen เพิ่มแรงกดเป็น 4096 ระดับ
  • ขาตั้ง Kickstand กางออกได้เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เป็น 165 องศา

หน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอก

ถ้าเปิดสเปกดูขนาดและน้ำหนักอย่างละเอียดแล้ว Surface Pro 2017 มีขนาดเกือบเท่ากับ Surface Pro 4 จะแตกต่างกันเล็กน้อยในหลักมิลลิเมตรเท่านั้น ส่วนน้ำหนักก็ใกล้เคียงกันในทุกรุ่นย่อย จะมีแค่รุ่นที่เป็น Core i5 ที่เบากว่าเดิมเล็กน้อย ด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องใช้พัดลมแล้วนั่นเอง

คนที่ใช้ Surface Pro 4 มาก่อน น่าจะใช้งาน Surface Pro 2017 ให้คุ้นเคยได้ในแทบจะทันที เพราะมันเหมือนกันเกือบ 100%

ข้อเสียคงเป็นว่า Surface Pro 2017 ยังใช้พอร์ตเหมือนกับ Surface Pro 4 ทุกประการ นั่นคือ USB ขนาดเต็มหนึ่งพอร์ต, Mini DisplayPort สำหรับต่อจอ และพอร์ตสำหรับชาร์จไฟด้วยสายชาร์จของ Surface เองเท่านั้น ไม่มีพอร์ตใหม่ๆ ที่ควรจะมีอย่าง USB-C มาให้ด้วย ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของ Surface Pro 2017 ที่รีวิวของสื่อต่างประเทศทุกสำนักพูดตรงกัน

ขาตั้ง Kickstand สามารถกางออกได้มากกว่าเดิม แต่ในแง่การใช้งานก็ไม่ได้ต่างอะไรจากของเดิมมากนัก ช่องเสียบ microSD ยังอยู่ใต้ Kickstand เช่นเดิม ตำแหน่งการวางปุ่มและพอร์ตเหมือนกันทุกประการ

คีย์บอร์ด Alcantara

ของใหม่ที่จับต้องได้ชัดเจนใน Surface Pro 2017 คือคีย์บอร์ด Type Cover แบบใหม่ที่ใช้ผ้า Alcantara ซึ่งนิยมใช้ในเบาะรถยนต์ ไมโครซอฟท์โฆษณาว่าเป็นวัสดุที่แข็งแรง ทนทาน จับแล้วให้ความรู้สึกดี (Surface Laptop ก็ใช้วัสดุตัวเดียวกันนี้)

เท่าที่ผมลองใช้งานมาได้หลายวัน ก็ยังไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับมันเท่าไรนัก รุ่นที่ได้มาทดสอบเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งก็ดูสวยดี คีย์บอร์ดสกรีนภาษาไทยมาให้เรียบร้อย ปุ่มบนคีย์บอร์ด Type Cover พิมพ์แล้วให้สัมผัสนุ่มสบายดี

หมายเหตุ: ไมโครซอฟท์มีขายทั้งคีย์บอร์ดรุ่นปกติ (มีเฉพาะสีดำ) ที่ใช้วัสดุแบบเดิม ราคา 5,190 บาท และคีย์บอร์ด Signature Type Cover ที่เป็น Alcantara ราคาแพงขึ้นเป็น 6,390 บาท รุ่นที่ได้มารีวิวเป็น Alcantara นะครับ

ปากกา Surface Pen

ปากกา Surface Pen ตัวใหม่ปรับแรงกดให้ละเอียดกว่าเดิม และตอบสนองการเขียนเร็วกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม เดิมที Surface Pro แถมปากกามาให้ในชุดเสมอ (คีย์บอร์ดขายแยก แต่แถมปากกา) แต่พอมาถึง Surface Pro 2017 กลับไม่แถมปากกามาให้แล้ว ต้องซื้อแยกกันเองนะครับ

ปากกา Surface Pen ตัวใหม่ตัดคลิปสำหรับเหน็บกระเป๋าออกไป และไม่มีหัวเปลี่ยนแถมมาให้ในชุด สิ่งที่พัฒนาขึ้นจากเดิมคือรองรับแรงกด 4096 ระดับ และลดการแล็กของปากกากับหน้าจอลง

ถ้าใครเคยมี Surface รุ่นก่อนหน้านี้ และเคยซื้อปากกาไว้แล้ว สามารถนำมาใช้กับ Surface Pro 2017 ได้ (ถือเป็นข้อดีของ Surface ที่อุปกรณ์เสริมส่วนใหญ่ใช้ข้ามรุ่นกันได้ ตัวปากการุ่นใหม่ก็สามารถนำไปใช้กับ Surface รุ่นเก่าได้ด้วย) ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องความละเอียดของปากกา เช่น เอาไว้จดโน้ตอย่างเดียว ก็ช่วยประหยัดเงินลงได้ (ปากกา 3,900 บาท)

เนื่องจากผมมีปากกา Surface Pen รุ่นเก่าที่ซื้อมาพร้อม Surface 3 เลยลองนำมาใช้งานเทียบกัน พบว่าหัวปากกามีขนาดใกล้เคียงกัน แต่สัมผัสในตอนเขียนนั้นปากการุ่นใหม่เขียนลื่นกว่าอย่างรู้สึกได้ (ส่วนเรื่องแรงกดนี่ไม่ได้ทดสอบครับ)

การใช้งาน

สำหรับคนที่เคยใช้อุปกรณ์ตระกูล Surface อยู่แล้ว ให้สรุปแบบรวบรัด Surface Pro (2017) ก็ยังให้ "ความรู้สึกแบบ Surface" ไม่เปลี่ยนแปลง มันทำงานบางอย่างได้ดี (เช่น การพับคีย์บอร์ดเพื่อเป็นโหมดอ่าน หรือการใช้งานร่วมกับปากกา) และทำงานบางอย่างได้ไม่ดีนัก (เช่น วางตักแล้วพิมพ์รัวๆ) ดังเช่นอุปกรณ์รุ่นก่อนๆ

ดังนั้นคนที่มีรูปแบบการทำงานสอดคล้องกับแนวคิดของ Surface ย่อมจะประทับใจใน Surface Pro (2017) ที่พัฒนาประสบการณ์ใช้งานโดยรวมให้สมบูรณ์ขึ้น ส่วนคนที่เคยลองแล้วไม่ชอบด้วยเหตุผลบางประการ ก็น่าจะยังรู้สึกดังเดิม

สิ่งสำคัญที่ Surface Pro (2017) เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนๆ มี 2 ประการ อย่างแรกคือเสียงเงียบ โดยเฉพาะกรณีของรุ่น Core i5 ที่ถือเป็นรุ่นกลาง ประสิทธิภาพค่อนข้างแรง เดิมทีในรุ่นก่อนๆ ยังต้องระบายความร้อนด้วยพัดลม แต่การมาถึงของ Kaby Lake ทำให้มันกินไฟต่ำพอที่จะไม่ต้องใช้พัดลมได้ เท่าที่ผมลองใช้งานมาต้องบอกว่าอุปกรณ์แทบไม่รู้สึกร้อนเลย

ข้อดีของ Kaby Lake อีกอย่างหนึ่งคือแบตเตอรี่อึดขึ้นมาก ไมโครซอฟท์โฆษณาว่าได้ถึง 13.5 ชั่วโมง และเว็บไซต์รีวิวของต่างประเทศหลายแห่งก็ทดสอบแล้วพบว่าแบตเตอรี่อยู่ได้นานขึ้นจริงๆ ช่วยให้การพก Surface Pro ออกจากบ้านโดยไม่ต้องหยิบสายชาร์จติดไปด้วย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริงแล้ว (ผมไม่ได้ลองวัดแบตเตอรี่จริงจัง แต่ก็พบว่าอยู่ได้นานจริงๆ)

สรุป

Surface Pro (2017) เป็นการพัฒนาต่อยอดของฟอร์มแฟคเตอร์ Surface เดิมให้ดียิ่งขึ้น ข้อดีที่สำคัญที่สุดของมันและน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญถ้าจะซื้อ ก็คือแบตเตอรี่ที่ดีขึ้นมากๆ ส่วนข้อเสียเป็นเรื่องพอร์ตที่จำกัดจำเขี่ย ราคาที่ค่อนข้างแพง และคีย์บอร์ด/ปากกาต้องซื้อแยกต่างหาก

Surface Pro รุ่นล่างที่สุด (Core m3/RAM 4GB/SSD 128GB) ราคา 30,900 บาท ถ้าซื้อคีย์บอร์ดรุ่นปกติ ราคารวมจะเริ่มต้นที่ 36,090 บาท และถ้าหากซื้อรุ่นที่รีวิว (Core i5/RAM 8GB/SSD 256GB) ราคา 49,900 บาท บวกด้วยอุปกรณ์เสริมครบชุดคือคีย์บอร์ด Signature และปากกา ราคารวมอยู่ที่ 60,190 บาท ถือว่าค่อนข้างแพงทีเดียว อันนี้คงขึ้นกับความคุ้มค่าของแต่ละคนว่าจะมองที่ตรงไหนครับ

ข้อดี

  • เป็นฟอร์มแฟกเตอร์แบบ detachable ที่พัฒนามาจนลงตัวแล้ว
  • ประสิทธิภาพระดับ Kaby Lake
  • เงียบ ไม่ต้องใช้พัดลม (สำหรับ Core m3/i5)
  • คีย์บอร์ดน่าจะดีที่สุดแล้วสำหรับแท็บเล็ตในท้องตลาด
  • แบตเตอรี่อึดขึ้นมาก

ข้อเสีย

  • พอร์ตเชื่อมต่อยังจำกัด ไม่มีพอร์ตใหม่ๆ อย่าง USB-C
  • ราคาแพง ไม่แถมคีย์บอร์ด
  • ไม่แถมปากกาแล้ว
Blognone Jobs Premium