Blognone

รีวิว Galaxy Note 8 - ถ้าไม่ใช่ Galaxy Note ยังไงก็ไม่ใช่ Galaxy Note

authorby sponsored
published on25 September 2017 - 02:48

Galaxy Note 8 ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าจับตามากในปี 2017 โดยเหตุผลสำคัญมาจากปัญหาของ Galaxy Note 7 จนต้องสั่งเลิกขายอย่างถาวรจนเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก มาถึงปีนี้ ทุกคนจึงจับตาดูว่าซัมซุงจะนำซีรีส์ Note กลับคืนสู่วงการอย่างไร

คำตอบของซัมซุงต่อชาวโลกคือ Galaxy Note 8 ที่กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมพัฒนาการที่ดีขึ้นในทุกด้าน แต่มันก็มาพร้อมกับค่าตัวที่ยกระดับความแพงขึ้นอีกหลายจุด จึงส่งผลให้เกิดคำถามตามมาว่าคุณสมบัติของ Note 8 คุ้มค่าตัวมากน้อยแค่ไหน

Blognone ได้รับเครื่องทดสอบจากซัมซุงประเทศไทยมาใช้งานเป็นเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ และนี่คือรีวิว Galaxy Note 8 เพื่อตอบคำถามข้างต้น

No Description

เข้าใจตำแหน่งของ Galaxy S และ Galaxy Note

ก่อนเข้าสู่การรีวิวตัวผลิตภัณฑ์ Galaxy Note 8 คงต้องขอย้อนความกลับไปยังประวัติของซีรีส์ Galaxy Note ก่อน เพื่อทำความเข้าใจว่าซัมซุงมองตำแหน่ง (positioning) ของซีรีส์ Galaxy Note ในสายผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของตัวเองอย่างไร

ถ้าเราย้อนดูประวัติการออกมือถือรุ่นเรือธงของซัมซุงในรอบหลายปีที่ผ่านมา ถ้านับตั้งแต่ปี 2011 ที่ซีรีส์ Galaxy Note เปิดตัวเป็นครั้งแรก ถือว่าซัมซุงใช้ยุทธศาสตร์ "2 เรือธงใน 1 ปี" มาโดยตลอด

แต่ถ้าเราดูการออกรุ่นอย่างละเอียด จะพบว่าในช่วงครึ่งแรก (ก่อนปี 2015) แนวทางที่ซัมซุงใช้คือออกมือถือเรือธงทุก "ครึ่งปี" ความแตกต่างระหว่าง S กับ Note ที่ออกในปีเดียวกันจะมีค่อนข้างมาก ตั้งแต่สเปกของตัว SoC ที่ดีขึ้นทุกๆ ครึ่งปี และดีไซน์ตัวเครื่องที่แตกต่างกันอย่างมากด้วย (ลองเทียบดีไซน์ของ Galaxy S4 กับ Note 3 หรือเทียบ Galaxy S5 กับ Note 4)

No Description

จุดเปลี่ยนในแนวทางการออกมือถือของซัมซุง เกิดขึ้นในปี 2015 พร้อมกับ Galaxy S6 (ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ "ซัมซุงยุคโลหะ" หลังจาก "ยุคพลาสติก") เราจะเห็นการจัดวางผลิตภัณฑ์ซีรีส์ Note ที่เปลี่ยนไปจากเดิม

หลังจากปี 2015 เป็นต้นมา Galaxy Note เปลี่ยนจากการเป็น "เรือธงครึ่งปีหลังที่สเปกดีขึ้นจาก Galaxy S" กลายมาเป็น "Galaxy S ที่มีปากกา" แทน เพราะใช้สเปกภายเหมือน Galaxy S ที่ออกในปีเดียวกัน และใช้ดีไซน์ตัวเครื่องในทิศทางเดียวกัน

แนวทางนี้เกิดขึ้นกับคู่ของ Galaxy S6/Note 5 และ Galaxy S7/Note 7 (แม้เคส Note 7 จะแท้งไปอย่างไม่ได้ตั้งใจก็ตาม)

No Description

"ยุคโลหะ" ของซัมซุงมีระยะเวลานาน 2 ปี กินระยะเวลาตั้งแต่ S6 > Note 5 > S7 > Note 7 ที่ยึดโครงสร้างเดียวกัน แต่ขัดเกลาคุณสมบัติย่อยๆ ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ พอมาถึงปี 2017 ซัมซุงก็ก้าวเข้าสู่ "ยุคกระจก" ด้วยการเปิดตัว Galaxy S8 ที่มีเอกลักษณ์คือหน้าจอ Infinity Display

Galaxy Note 8 ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่สองใน "ยุคกระจก" ก็ยังคงแนวทางเดิม ใช้ดีไซน์และฮาร์ดแวร์เหมือนกับ Galaxy S8 แล้วเพิ่มปากกา S Pen กับกล้องตัวที่สองเข้ามา ถือเป็นครั้งแรกของซัมซุงกับแนวทางกล้องคู่นั่นเอง

Galaxy Note 8 ต่อยอดจากรากฐานของ Galaxy S8

ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา จึงไม่น่าแปลกใจนักว่า Galaxy Note 8 มีความคล้ายคลึงกับ Galaxy S8 มาก (จะมองว่ามันเป็น family เดียวกันก็ได้) ตั้งแต่สเปกฮาร์ดแวร์ ดีไซน์ของตัวเครื่อง และกล้องหลักที่เป็นตัวเดียวกัน จุดที่ต่างไปมีแค่ปากกา S Pen และกล้องตัวที่สองเท่านั้น (บวกด้วยฟีเจอร์เล็กๆ น้อยๆ อีกนิดหน่อย)

คนที่เคยใช้ Galaxy S8 มาก่อนแล้วมาจับ Note 8 ก็เรียกว่าใช้งานต่อได้ทันที เพราะทุกอย่างเหมือนกันหมด ตั้งแต่หน้าจอ Infinity Display สัดส่วน 18.5:9 เกือบเต็มด้านหน้าเครื่อง, ปุ่มโฮมที่อยู่ใต้จอ, ตัวสแกนลายนิ้วมือด้านหลัง, ฟีเจอร์การปลดล็อคหน้าจอด้วยเรตินา-ใบหน้า, การใช้ปุ่มบนหน้าจอทั้งหมด รวมถึงดีไซน์ของซอฟต์แวร์ (อ่านรายละเอียดในบทความ เก็บตกรายละเอียด Galaxy S8 จากการใช้งานจริง ไม่มีปุ่มโฮมจริงแล้วเปลี่ยนไปอย่างไร)

จุดต่างในแง่ดีไซน์ระหว่าง S8 กับ Note 8 อยู่ที่ความโค้งของขอบเครื่อง โดย S8 จะมีความโค้งมนกว่า ในขณะที่ Note 8 ลดความโค้งลง ดูเหลี่ยมมากขึ้น ในภาพรวมจึงให้อารมณ์ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า ดูเป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้ในเชิงธุรกิจ มากกว่า S8 ที่ดูโฉบเฉี่ยวและสปอร์ตกว่า

ในแง่ของขนาดเครื่อง ถ้าวัดขนาดหน้าจออย่างเดียว Note 8 มีหน้าจอใหญ่ที่สุดในบรรดาซีรีส์ Note ทั้งหมด (สโลแกนของ Note 8 คือ Do Bigger Things) คือใหญ่ถึง 6.3" แต่ด้วยหน้าจอแบบ Infinity Display เกือบไร้ขอบ ทำให้ขนาดของตัวเครื่องกลับ "ผอม" ลงคือ 74.8 มิลลิเมตร ลดลงจาก Galaxy Note 5 ที่กว้าง 76.1 มิลลิเมตร สามารถจับสะดวกด้วยมือข้างเดียว

อย่างไรก็ตาม ด้วยสัดส่วนจอแบบ 18.5:9 (เกือบเป็น 2:1) ทำให้ตัวเครื่อง "สูง" ขึ้นเป็น 162.5 มิลลิเมตร มากกว่า Note 5/7 ที่ขนาดพอๆ กันราว 153 มิลลิเมตรอยู่พอสมควร ตรงนี้จึงเริ่มมีความยากเกิดขึ้น หากจะเอื้อมนิ้วไปกดปุ่มที่อยู่ขอบด้านบนๆ ของหน้าจอ

ดีไซน์ด้านหลังของ Note 8 ยิ่งเรียบเข้าไปใหญ่ เพราะเป็นฝาหลังเรียบๆ มีโลโก้ซัมซุงจางๆ (ยิ่งเครื่องที่ได้มารีวิวเป็นสีดำ ยิ่งดูเรียบมาก) จุดเดียวที่สังเกตได้คือกรอบที่วางตำแหน่งกล้องหลัง (ซึ่งเป็นกล้องคู่) พร้อมแฟลช และเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือ

สิ่งหนึ่งที่ซัมซุงทำได้ค่อนข้างดีในช่วงหลัง คือการออกแบบกล้องหลังโดยแทบไม่นูนขึ้นมาเลย กรณีของ Note 8 คือมีขอบของตัวกรอบนูนขึ้นมาเล็กน้อยจากฝาหลัง ตอนจับจริงแทบไม่รู้สึก

ส่วนการวางตำแหน่งปากกาก็ยังอยู่ที่เดิมคือมุมขวาล่างของเครื่อง ซึ่งใช้ดีไซน์เหมือนซีรีส์ Note รุ่นก่อนๆ คือ ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร (ยังอยู่!), พอร์ต USB-C, ไมโครโฟนและลำโพง, ปากกา S Pen

ขอบด้านซ้ายและขวาของ Note 8 เรียงปุ่มเหมือนกับ S8 ทุกประการ นั่นคือด้านซ้ายมีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Bixby ส่วนด้านขวาเป็นปุ่ม Power

ฟีเจอร์ส่วนของ Bixby ใน Note 8 ไม่ต่างอะไรกับ Bixby บน S8 ที่ Blognone เคยรีวิวไปแล้ว ตรงนี้คงไม่ขอกล่าวซ้ำ

ในภาพรวมแล้ว Note 8 สร้างขึ้นบนรากฐานของ Galaxy S8 ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของมือถือตระกูล Galaxy ระดับเรือธง ในแง่การใช้งานจริง นอกจากขนาดที่ใหญ่ขึ้นจาก S8 และความโค้งที่ลดลง ก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย รีวิวในหัวข้อถัดไปจึงจะโฟกัสไปที่ฟีเจอร์สำคัญ 2 อย่างคือ ปากกา S Pen และกล้องคู่เท่านั้น

ปากกา S Pen ที่สืบทอดมาจาก Note 7

ตัวฮาร์ดแวร์ปากกา S Pen ของ Note 8 เป็นปากกาตัวเดียวกับ Note 7 ที่รองรับแรงกด 4096 ระดับ (Note 5 รองรับ 2048 ระดับ) หัวปากกาเล็กลงเหลือเพียง 0.7 มิลลิเมตร และเขียนตอนจอเปียกได้ (เขียนในน้ำก็ได้!)

ถึงแม้มันจะไม่มีอะไรใหม่ไปจากปากกาของ Note 7 แต่เนื่องจาก Note 7 ไม่ได้วางขายทั่วไป คนที่เคยใช้ Note 5 มาก็จะได้อัพเกรดมาใช้ฮาร์ดแวร์ที่ดีขึ้นอยู่ดี (แม้จะได้ใช้งานช้าไป 1 ปี) ปากกาตัวใหม่เขียนได้ลื่นและเส้นเล็กกว่าเดิม น่าประทับใจกว่าของเดิมมาก

เทียบปากกา S Pen ของ Note 8 กับ Note 5

ฝั่งซอฟต์แวร์การจดโน้ตด้วยปากกา ก็พัฒนาต่อเนื่องมาหลายปีจนค่อนข้างลงตัวแล้ว ตัวฟีเจอร์แกนหลัก (ใช้ปากกาจดโน้ต) แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม จุดที่เปลี่ยนคงมีแค่แอพ S Note เดิม กลายร่างมาเป็นแอพ Samsung Notes ตัวใหม่แทน (เปลี่ยนครั้งแรกตอน Note 7)

ส่วนฟีเจอร์ลูกเล่นอื่นๆ ของปากกา ก็ยังเหมือนของเดิม ตั้งแต่การจับหน้าจอ (Smart Select), การเขียนทับไปบนหน้าจอ (Screen Write) รวมถึงฟีเจอร์ที่เพิ่มมาใน Note 7 ปีที่แล้วคือ การย่อแอพขนาดเล็กลอยทับแอพอื่น (Glance), แปลภาษา (Translate) ซูมหน้าจอ (Magnify) รวมถึงการเขียนโน้ตแล้วปักไว้บนหน้าจอ Always On

ตัวอย่างฟีเจอร์ปากกาของ Note 8, หน้าจอ Samsung Notes, ฟีเจอร์แปลภาษา

ฟีเจอร์ใหม่จริงๆ ของ S Pen ใน Note 8 คือ Live Message

Live Message เป็นการสร้างแอนิเมชัน GIF ด้วยการเขียนบนหน้าจอ โดยมีเอฟเฟคต์ฟรุ้งฟริ้งขึ้นมาตามการลากปากกาของเรา ฟีเจอร์นี้อาจดูไม่มีประโยชน์สักเท่าไร แต่ถือเป็นฟีเจอร์ชูโรงของ Note 8 เลยก็ว่าได้ เพราะมันเห็นภาพชัดเจนว่าเป็นฟีเจอร์ของ Note (แถมส่งแล้วสนุกด้วย) ข้อจำกัดคงมีแค่ว่าการเซฟเป็นไฟล์ GIF อาจจะมีขนาดไฟล์ที่ค่อนข้างใหญ่อยู่สักหน่อย

ในภาพรวมแล้ว ฟีเจอร์ปากกาของ Note 8 แทบไม่ต่างจาก Note 7 (เรียกว่าเวลาห่างกันปีนึง แทบไม่มีอะไรเพิ่ม ก็น่าผิดหวังอยู่บ้าง) เพียงแต่ Note 7 ไม่ได้วางขายทั่วไป ดังนั้นถ้าเทียบกับ Note 5 ก็ต้องบอกว่าพัฒนาขึ้นอย่างมาก ผู้ที่ชื่นชอบปากกาของ Note รุ่นก่อนหน้านี้ ก็น่าจะประทับใจกับปากกาของ Note 8 ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เขียนสนุกขึ้น มีฟีเจอร์ลูกเล่นต่างๆ (ที่อาจใช้ไม่บ่อยนัก) มากขึ้นหลายอย่าง

กล้องคู่ Dual Camera

กล้องหลักของ Note 8 ยังเป็นตัวเดิมกับ S8 คือกล้องมุมกว้างปกติ (wide-angle) ความละเอียด 12MP ที่มีพิกเซลขนาดใหญ่ (Dual Pixel Sensor) เก็บภาพในที่มืดได้ดี ส่วนกล้องตัวใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเป็นกล้องซูม (telephoto) ความละเอียด 12MP (แต่ไม่ใช่ Dual Pixel) มีมุมมอง (field of view) 45 องศา

แนวทางการใส่ "กล้องคู่" ไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกสมาร์ทโฟน และเป็นสัญญาณว่าพัฒนาการของกล้องสมาร์ทโฟนแบบตัวเดียวลำพัง เริ่มจะตันแล้ว จึงต้องมีกล้องตัวที่สองที่ช่วยจับภาพในมิติอื่นเพิ่มเข้ามา ส่วนกล้องตัวที่สองจะเป็นกล้องแนวไหน ก็ขึ้นกับแนวทางของแต่ละค่าย เช่น LG จะเพิ่มกล้องมุมกว้างกว่าเข้ามา, Huawei เพิ่มกล้องโมโนโครม

แนวทางของซัมซุงถือเป็นแนวทางค่อนข้างมาตรฐานคือ เพิ่มกล้องซูม telephoto แบบเดียวกับค่ายอื่นอย่าง iPhone และ OnePlus แต่ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่า กล้องตัวที่สองจะทำหน้าที่ช่วยเสริมการทำงานของกล้องหลักในบางโอกาสเท่านั้น ไม่ได้ใช้งานในทุกกรณีไป

การมาถึงของกล้องตัวที่สอง ทำให้เราสามารถถ่ายภาพที่แตกต่างออกไปได้ 2 อย่างคือ การซูมภาพแบบ optical zoom 2x และฟีเจอร์ Live Focus หรืออธิบายง่ายๆ ว่าหน้าชัดหลังเบลอนั่นเอง

ซัมซุงได้ปรับหน้าจอของแอพ Camera ใหม่เล็กน้อย เพื่อให้สองฟีเจอร์นี้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เรียกว่าอยู่ตรงกลางจอ ข้างปุ่มชัตเตอร์เลยทีเดียว

การถ่ายซูม 2x สามารถทำได้ง่ายๆ โดยกดปุ่ม 2x บนหน้าจอกล้อง แอพจะสลับมาใช้กล้องตัวที่สองให้อัตโนมัติ ตรงนี้ช่วยให้เราสามารถซูม 2 เท่าแบบภาพไม่แตก (เพราะเป็น optical zoom) ได้ ช่วยให้การถ่ายภาพระยะไกลที่ต้องการรายละเอียด (เช่น ถ่ายป้าย ถ่ายสไลด์) ได้ภาพที่คุณภาพดีขึ้นมาก

อย่างไรก็ตาม ตรงนี้ต้องระวังไว้สักนิดว่า ถ้าหากเราซูมที่ระดับอื่น เช่น 1.x หรือมากกว่า 2x มันจะเป็นการซูมดิจิทัลด้วยกล้องหลัก แทนการซูมด้วยเลนส์ตัวที่สอง

จุดแตกต่างอีกอย่างของกล้อง Note 8 คือเป็นมือถือตัวแรกที่มีระบบกันสั่น OIS กับกล้องทั้งสองตัว (คู่แข่งส่วนใหญ่มี OIS กล้องเดียว) ตรงนี้ก็ช่วยให้การถือกล้องสะดวกมากขึ้น เพราะกันสั่นทุกกรณีไม่ว่าจะถ่ายปกติ ซูม หรือถ่ายวิดีโอ

ส่วนฟีเจอร์ Live Focus คือการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ โดยเป็นการประสานงานระหว่างกล้อง 2 ตัว กระบวนการทำงานของมันถ่าย 2 ภาพพร้อมกันแล้วมาประมวลผลหาระยะตื้นลึก แล้วทำเบลอด้วยซอฟต์แวร์ (ภาพที่ถ่ายด้วย Live Focus จะมีมุมมองแคบเท่ากับกล้อง telephoto เพราะต้องใช้สองภาพมาซ้อนกัน จึงมีมุมมองเท่ากับภาพที่แคบกว่าเสมอ) ในอดีตซัมซุงเคยมีฟีเจอร์แบบเดียวกันคือ Selective Focus แต่เป็นการเบลอด้วยกล้องเดียว

คลิกเพื่อดูภาพขนาดเต็มแบบไม่บีบอัดบน Flickr

ฟีเจอร์หน้าชัดหลังเบลอไม่ใช่ของใหม่ แต่สิ่งที่ Note 8 แตกต่างไปจากคู่แข่งรายอื่นคือ Live Focus สามารถปรับระดับของความเบลอได้เอง โดยมีแถบ slider มาให้ตอนกำลังถ่ายภาพเลย

เนื่องจาก Live Focus จะถ่าย 2 ภาพพร้อมกันเสมอ เราจึงสามารถปรับระดับโฟกัสหลังจากถ่ายภาพไปแล้วได้ด้วย เพราะเครื่องยังเก็บทั้ง 2 ภาพเอาไว้คำนวณใหม่ได้ตลอดเวลา วิธีการคือถ้าเราถ่ายภาพด้วยโหมด Live Focus แล้วเปิดดูด้วยแอพ Gallery ของซัมซุง จะเห็นปุ่ม Adjust Background Blur เพิ่มขึ้นมา เราสามารถปรับ slider ได้เหมือนกับตอนกำลังถ่ายภาพเลย

เรายังสามารถตั้งค่าให้ Dual Capture คือเซฟภาพมุมกว้างไว้ได้ด้วย นั่นแปลว่าใน 1 ไฟล์จะมีทั้งภาพที่เป็น Live Focus และภาพมุมกว้าง (ไม่เบลอ) มาให้พร้อมกัน (ปุ่ม Normal Picture ในภาพ)

จากการทดลองใช้งาน พบว่า Live Focus เป็นฟีเจอร์ที่ต้องฝึกฝนอยู่บ้าง เพราะมันจะทำงานก็ต่อเมื่อกล้องห่างจากวัตถุ (subject) ของภาพประมาณ 4 ฟุต (ราว 1 เมตร) เท่านั้น หากถ่ายใกล้ไปหรือไกลไป Live Focus จะไม่ทำงาน (พูดง่ายๆ ว่ามันออกแบบมาสำหรับการถ่ายภาพคน)

หน้าจอที่บอกว่า Live Focus ใช้งานไม่ได้

หน้าจอที่บอกว่า Live Focus ทำงานได้

หากวัตถุมีสีหรือพื้นผิวใกล้เคียงกับพื้นหลังมากเกินไป Live Focus ก็จะทำงานได้ไม่ดีนัก เนื่องจากซอฟต์แวร์แยกไม่ค่อยออกนั่นเอง

สังเกตความเบลอของกิ่งไม้ สีแดงและสีเขียวที่ไม่เท่ากัน เพราะสีเขียวถูกเบลอไปพร้อมกับใบไม้

เท่าที่ทดสอบมา อัลกอริทึมการทำเบลอของ Live Focus ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างในบางกรณี โดยเฉพาะภาพที่พื้นหลังมีระยะใกล้กับตัววัตถุข้างหน้าค่อนข้างมาก (เช่น วาง subject อยู่เกือบติดผนัง)

ตัวอย่างการเกลี่ยความเบลอที่ไม่สมบูรณ์

ถ้าปรับระดับของความเบลอเป็นขั้นสูงสุด ขอบของวัตถุอาจจะเบลอได้ไม่ถูกต้อง 100% นัก ถ้าปรับความเบลอให้ลดลงมาเหลือสักครึ่งหลอด ภาพจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่า

เบลอ 100%

เบลอ 50%

ส่วนฟีเจอร์ด้านกล้องอื่นๆ ก็เหมือนกับในสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นก่อนๆ อย่างการถ่าย slow motion, hyperlapse, panorama, food mode, virtual shot คงไม่ต้องกล่าวถึงซ้ำในรีวิวนี้

ในภาพรวมเรื่องกล้อง ต้องบอกว่ากล้องของ Note 8 อยู่บนพื้นฐานของกล้อง S8 ที่ทำได้ดีมากอยู่แล้ว การเพิ่มกล้อง telephoto ตัวที่สองเข้ามา ช่วยให้การถ่ายภาพสนุกขึ้นเพราะสามารถซูมได้

ส่วน Live Focus ก็ช่วยให้ถ่ายภาพที่มีเทคนิคพิเศษได้มากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ฟีเจอร์ที่ใช้บ่อยๆ ทุกครั้งไป (เหมาะมากกับบรรจงการถ่ายลง Instagram แต่ไม่ใช่ว่าทุกครั้งเราจะถ่ายกันแบบนี้) ส่วนอัลกอริทึมการเบลอก็ยังไม่ 100% ถ้าองค์ประกอบของภาพเหมาะสมก็ดีใจหาย แต่ถ้าอยู่นอกขอบเขตความสามารถของมัน ก็จะพบความไม่เนียนอยู่บ้าง

App Pair

ฟีเจอร์ด้านซอฟต์แวร์ที่เพิ่มเข้ามาใน Galaxy Note 8 และควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ App Pair

App Pair เป็นการต่อยอดฟีเจอร์ multi-window หรือการรัน 2 แอพพร้อมกัน (แบ่งจอบน-ล่าง) ที่สมาร์ทโฟนของซัมซุงทำได้มานานแล้ว แต่มันเพิ่มความสะดวกให้อีกหน่อย จากเดิมที่ต้องเลือกทีละแอพมาแบ่งครึ่งจอ เราก็สามารถ "จับคู่" แอพที่ใช้บ่อยไว้ล่วงหน้าได้เลย

การใช้งาน App Pair จะถูกเรียกจากแถบข้างจอ (Edge Screen) โดยมีสถานะเท่ากับปุ่มลัดเรียกแอพตามปกติ ดังนั้นถ้าใครปิดฟีเจอร์ Edge Screen ก็จะไม่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้

สรุป: ถ้าไม่ใช่ Galaxy Note ยังไงก็ไม่ใช่ Galaxy Note

เอกลักษณ์ของซีรีส์ Galaxy Note ที่ไม่มีใครเสมอเหมือนคือปากกา S Pen ที่ใช้เทคโนโลยี digitizer ของ Wacom (และซัมซุงก็ซื้อหุ้น 5% ของ Wacom ตั้งแต่ปี 2013) จะด้วยปัจจัยเรื่องสิทธิบัตรหรือข้อตกลงทางเทคโนโลยีใดก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราแทบไม่เห็นสมาร์ทโฟนค่ายอื่นๆ มีเทคโนโลยีปากกาในลักษณะเดียวกัน

นี่จึงทำให้ Galaxy Note แทบจะเป็นมือถือซีรีส์เดียวในท้องตลาด ที่มีความสามารถการจดโน้ตด้วยลายมือ เมื่อบวกกับตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ระดับเรือธง ที่กล้องดีสเปกแรง ทำให้ที่ผ่านมา Galaxy Note มีฐานแฟนๆ ที่เหนียวแน่นอยู่มาก (เหนียวแน่นระดับไม่ยอมคืนเครื่อง Note 7 แม้จะเรียกคืนหลายครั้งก็ตาม)

ในสายตาของแฟนๆ ซีรีส์ Note ที่ใช้ปากกา S Pen กันอย่างจริงจัง การจะเปลี่ยนไปใช้มือถือยี่ห้ออื่น (หรือแม้แต่ยี่ห้อเดียวกันแต่ต่างซีรีส์อย่าง Galaxy S) นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะทำให้ขาดคุณสมบัติการจดโน้ตด้วยปากกาไปในทันที ส่งผลให้แฟนซีรีส์ Note จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากตามซื้อ Note รุ่นใหม่ขึ้นกันต่อไปเรื่อยๆ

Galaxy Note 8 ถูกออกแบบมาสำหรับแฟนๆ ของ Galaxy Note อย่างแท้จริง มันสร้างขึ้นบนฐานที่มั่นคงของ Galaxy S8 ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของซัมซุง และฟีเจอร์ปากกาของ Galaxy Note 7 ที่ถูกขัดเกลามาอย่างยาวนานหลายปี ผลคือมันเป็นเรือธงที่สมบูรณ์พร้อมในแทบทุกด้าน ทั้งในแง่หน้าจอขนาดใหญ่เต็มตา ตอบสนองการทำงานรวดเร็ว กล้องคุณภาพสูง และประสบการณ์จดโน้ตที่ลื่นไหล เรียกได้ว่าแทบไม่มีจุดอ่อนอะไรสำคัญให้ต้องวิจารณ์

คำถามสำคัญคือคุณสมบัติของ Galaxy Note 8 สมราคาค่าตัว 33,900 บาท ที่ยกระดับจากเรือธงรุ่นก่อนๆ ขึ้นอีกมากหรือไม่

คำตอบขึ้นกับว่าคุณคือใคร

ถ้าคุณคือแฟนพันธุ์แท้ของซีรีส์ Galaxy Note มาโดยตลอด การอัพเกรดจาก Note 4 หรือ Note 5 มาสู่ Note 8 จะให้ประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด คุ้มราคาค่าตัว (หรือถ้ารอได้จน Note 8 ราคาตก ก็จะยิ่งคุ้ม)

แต่ถ้าคุณต้องการเรือธงฝั่ง Android โดยไม่เน้นการใช้ปากกามากนัก Note 8 อาจไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสมนัก เพราะมันมีความต่างจาก Galaxy S8 ไม่มาก (ในขณะที่ราคาแพงขึ้นไปมาก) และตอนนี้ซัมซุงเริ่มลดราคา S8 ลงมาบ้างแล้ว การเลือก S8 น่าจะเป็นตัวเลือกที่คุ้มกับเงินในกระเป๋ามากกว่า

ข้อดี

  • อยู่บนพื้นฐานของ Galaxy S8 ที่ดีมากอยู่แล้ว หน้าจอใหญ่ไร้ขอบ สเปกแรง กล้องดี
  • กล้องตัวที่สอง ถ่ายซูมได้ ถ่าย Live Focus ได้ เพิ่มประสบการณ์ถ่ายภาพอีกมาก
  • ปากกา S Pen ให้ประสบการณ์จดโน้ตที่ไม่มีใครเสมอเหมือน
  • นี่คือ Galaxy Note ตัวแรกในรอบสองปี ดีขึ้นกว่า Note 5 มาก

ข้อเสีย

  • ตัวเครื่องสวยแบบมีเอกลักษณ์น้อยกว่า S8 อยู่หน่อย
  • Live Focus ยังทำงานได้ไม่เนียนในบางกรณี
  • ตัวสแกนลายนิ้วมือด้านหลัง ตำแหน่งยังกดยากเหมือนเดิม
  • Bixby ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานจริง
  • แพง
Blognone Jobs Premium