รีวิว Galaxy Note FE ร่างใหม่ของ Note 7 กล้องดี มีปากกา สแกนนิ้วด้านหน้า ราคาดี

by mk
19 November 2017 - 04:22

ปกติแล้วสมาร์ทโฟนเรือธงในแต่ละปี มักถูกปรับลดราคาลงในปีต่อมา เพื่อใช้ดึงดูดลูกค้าที่อยากได้สินค้าสเปกดีในราคาไม่แพงจนเกินไป แต่ปัญหาของ Galaxy Note 7 เมื่อปีที่แล้ว ทำให้สายผลิตภัณฑ์ของ Galaxy Note เกิดช่องโหว่ขึ้นมา และเมื่อ Galaxy Note 8 เปิดตัวด้วยราคาค่อนข้างแพงที่ 33,900 บาท ทำให้ผู้ที่อยากได้ Note รุ่นรองที่ราคาถูกลงมา ไม่มีตัวเลือกอื่นเลย

ช่องโหว่นี้ถูกปิดด้วย Galaxy Note FE (Fan Edition) หรือ Galaxy Note 7 ในร่างใหม่ และการตั้งราคา 20,900 บาท ถูกกว่า Note 8 ถึงหมื่นกว่าบาท ย่อมทำให้มันน่าสนใจขึ้นมาทันที ในฐานะมือถือมีปากกา ที่สเปกดีพอสมควร และราคาเอื้อมถึงได้มากกว่า

สเปก: มันก็คือ Note 7 เปลี่ยนแบตเป็นล็อตใหม่

ต้องบอกว่า Galaxy Note FE ก็คือ Galaxy Note 7 เกือบ 100% เพราะใช้ชิ้นส่วนเดิมของ Galaxy Note 7 เกือบทั้งหมด จะมีแค่แบตเตอรี่ที่เปลี่ยนล็อตใหม่ ลดความจุลงเล็กน้อย (จาก 3500mAh เหลือ 3200mAh) ควบคุมความปลอดภัยอย่างเข้มข้น

สเปกของ Galaxy Note FE จึงเหมือนกับสเปกของ Galaxy Note 7 แทบทั้งหมด

  • หน้าจอ Super AMOLED 5.7" 2560x1440 (Quad HD) ขอบโค้ง
  • ซีพียู 8 คอร์ 2.3GHz+1.6GHz
  • แรม 4GB, สตอเรจ 64GB เพิ่ม microSD ได้
  • กล้องหลัง 12MP OIS, กล้องหน้า 5MP
  • ชาร์จไฟด้วยพอร์ต USB-C, ยังมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
  • ปากกาแรงกด 4096 ระดับ (เท่ากับ Note 8)
  • ระบบสแกนม่านตา
  • กันน้ำกันฝุ่น IP68 แถมใช้ปากกาเขียนใต้น้ำได้

รูปลักษณ์ภายนอก: มันก็คือ Note 7

ต้องบอกว่า Galaxy Note FE ใช้โครงสร้างภายนอกแทบจะเหมือนกับ Galaxy Note 7 ทั้งหมด เพียงแค่เพิ่มลายสกรีนด้านหลังเป็นคำว่า Galaxy Note Fan Edition เข้ามาให้เห็นชัดๆ เท่านั้น

ขนาดของตัวเครื่องเมื่อเทียบกับ Note 8 จะเห็นว่าความกว้างใกล้เคียงกัน แต่ความยาวของ Note 8 ยาวกว่ามาก (5.7" vs 6" เมื่อเทียบแนวทแยง) ในแง่ของการหยิบจับ Note FE ก็ใช้งานเหมาะมือกว่า โดยต้องแลกมาด้วยขนาดหน้าจอที่เล็กกว่า

นอกจากขนาดแล้ว สิ่งที่แตกต่างได้อย่างชัดเจนคือน้ำหนัก เพราะ Note FE เบากว่า Note 8 อยู่พอสมควร (167 กรัม vs 195 กรัม) สำหรับคนที่ชอบมือถือน้ำหนักเบาๆ Note FE ย่อมเหมาะมือมากกว่า

อีกจุดที่ต่างไปในแง่รูปลักษณ์คือ Note FE มีให้เลือกเพียงสองสีคือ ดำ Black Onyx และฟ้า Blue Coral (รุ่นที่ได้มารีวิวเป็นสีฟ้า) ในขณะที่สีเงิน Silver Titanium และ ทอง Gold Platinum ของ Galaxy Note 7 ถูกตัดออกไป ไม่นำมาขายด้วย

วัสดุและสีของ Note FE จะออกเมทัลลิค เป็นเงามากกว่า สะท้อนแสงกว่า Note 8

ข้างใต้เครื่อง จุดสังเกตความแตกต่างของ Note FE กับ Note 8 มีเพียงตะแกรงไมโครโฟนที่ใช้ดีไซน์ต่างกันเท่านั้น

ปุ่มโฮมด้านหน้า สแกนนิ้วด้านหน้า

แนวทางการออกแบบของ Galaxy Note FE ใช้ดีไซน์ที่ซัมซุงใช้มาตลอดในช่วงปี 2015-2016 (ตั้งแต่ S6 จนถึง Note 7) เมื่อมาเปรียบเทียบกับมือถือในปี 2017 ที่ใช้ดีไซน์จอไร้ขอบอย่าง S8/Note 8 อาจดูล้าสมัยไปบ้าง เพราะยังมีขอบจอบน-ล่างให้เห็น และมีปุ่มโฮมเหมือนเดิม (เป็นเรือธงตัวสุดท้ายที่มีปุ่มโฮม)

แต่ปุ่มโฮมอันนี้กลับมีข้อดีที่เหนือกว่ามือถือปี 2017 (แม้จะไม่ตั้งใจ) ตรงที่มันสแกนนิ้วได้สะดวกกว่ามาก จากการลองใช้มือถือจอไร้ขอบไร้ปุ่มโฮม พบว่าหลายสถานการณ์ไม่สามารถปลดล็อคด้วยการสแกนใบหน้า-นัยน์ตาได้ง่ายนัก เช่น เราเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่อยู่ไกลตัว และต่อให้มีตัวสแกนนิ้วที่ด้านหลังเครื่อง ก็ไม่สะดวกเท่าการสแกนนิ้วด้านหน้าอยู่ดี

ปุ่มโฮมที่สแกนนิ้วได้ จึงกลายเป็นฟีเจอร์เด่นของ Galaxy Note FE ไปในทันที

ปากกา S Pen แรงกด 4096 ระดับ

ต้องบอกว่าในแง่ฮาร์ดแวร์แล้ว ปากกา S Pen ของ Galaxy Note FE แทบจะเหมือนกับปากกาของ Galaxy Note 8 ทุกอย่าง (อยากจะบอกว่าเป็นตัวเดียวกันเลยแต่ก็ไม่กล้าฟันธง) เป็นปากกาหัวเล็ก รองรับแรงกด 4096 ระดับ เขียนได้แม้จอเปียกหรืออยู่ใต้น้ำ

จากการลองเขียนหน้าจอ Note FE ด้วยปากกาของ Note FE เทียบกับปากกา Note 8 ก็ไม่พบความแตกต่างใดๆ เส้นเล็กสวยเหมือนกัน

ฟีเจอร์ฝั่งซอฟต์แวร์ปากกาก็มีเหมือนกันทั้งหมด ตั้งแต่ Samsung Notes, Smart Select, Screen Write, Translate, Magnify, Glance จะมีแค่ฟีเจอร์ส่งข้อความฟรุ้งฟริ้ง Live Message ที่สงวนไว้เป็นจุดขายของ Note 8 เท่านั้น

ซ้าย: Note FE, ขวา: Note 8

ตัวแอพ Samsung Notes ที่เป็นแอพจดโน้ตหลักของระบบ ก็มีเวอร์ชันต่างกันอยู่บ้าง โดย Note FE ได้เป็นเวอร์ชัน 1.5 ในขณะที่ Note 8 ใช้เวอร์ชัน 2.0 ซึ่งใหม่กว่า มีความสามารถมากกว่ากันเล็กน้อยในแง่ตัวเลือกยิบย่อยต่างๆ แต่ภาพรวมของการใช้งานแทบไม่ต่างกัน

ซอฟต์แวร์: ปรับปรุงจาก Note 7 แต่ยังไม่ใหม่ที่สุด

ห่างหายไปหนึ่งปี จะให้ Note FE ใช้ซอฟต์แวร์ตัวเดียวกับ Note 7 (ที่เป็น Android 6.0) ก็ใช้ที่ ซัมซุงจึงอัพเดตให้เป็น Android 7.0 Nougat และใช้เวอร์ชันรอม Samsung Experience (ชื่อใหม่ของ Touchwiz) 8.1 มาให้เรียบร้อยตั้งแต่แรก

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่ารอมของ Note FE ยังไม่ใช่ซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุด เพราะมือถือเรือธงอย่าง Note 8 ใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่กว่า พัฒนาอยู่บน Android 7.1 และใช้เวอร์ชันรอม Samsung Experience เป็นเวอร์ชัน 8.5 ที่หน้าตาต่างออกไปบ้างในรายละเอียดยิบย่อย (หน้าตาโดยรวมเหมือนกัน ใช้ชุดไอคอนแบบใหม่ที่เริ่มตอน S8)

ฟีเจอร์อีกอย่างที่น่าสนใจคือ Note FE ให้ Bixby มาด้วย แต่มาเฉพาะส่วน Bixby Home ที่แสดงฟีดข่าวบนหน้าโฮมสกรีนอันซ้ายมือสุดเท่านั้น ไม่มีฟีเจอร์สั่งงานด้วยเสียงหรือกล้องของ Bixby เช่นเดียวกับ S8/Note 8

จะเห็นว่าเวอร์ชันของ Bixby ต่างกัน และของ Note FE มีเฉพาะ Bixby Home ไม่มี Bixby Voice เหมือนใน Note 8

ตรงนี้เป็นเรื่องน่าสนใจว่า ในอนาคตการอัพเดตของ Note FE จะเป็นอย่างไร เพราะ Note 7 มีสถานะเป็น "เรือธง" (ที่สุดท้ายไม่ได้วางขายในวงกว้าง) แต่ Note FE เริ่มต้นด้วยสถานะ "เรือธงตัวรอง" ที่อาจมีนโยบายการอัพเดตซอฟต์แวร์แตกต่างออกไปจากเรือธงรุ่นหลัก

ปกติแล้ว ซัมซุงมีนโยบายอัพเดตระบบปฏิบัติการให้ 2 เวอร์ชันใหญ่ แต่กรณีของ Note FE เราจะมองว่าอัพเดตเป็น Nouget ไปแล้วรอบหนึ่ง แล้วจะเหลือรอบของ Oreo เพียงรอบเดียวหรือไม่ หรือว่าจะได้ไปต่อถึง Android P เลย ก็เป็นสิ่งที่ต้องตั้งคำถามกันต่อไป

กล้องคุณภาพระดับเรือธงปี 2016

เดิมทีกล้องของ Note 7 ก็มีคุณภาพระดับเรือธงช่วงปลายปี 2016 อยู่แล้ว ถึงแม้กล้องจะตกรุ่นไป 1 รอบปี ไม่มีฟีเจอร์หวือหวาอย่างกล้องคู่หลังละลาย แต่ในแง่คุณภาพก็ยังถือว่าดีเยี่ยมอยู่ การใช้งานถือว่าน่าประทับใจทั้งกลางวันและกลางคืน

ภาพทั้งหมดถ่ายด้วยโหมด Auto ที่ความละเอียด 4032x3024 ซึ่งเป็นความละเอียดสูงสุดของเครื่อง (เนทีฟที่สัดส่วน 4:3) ภาพอาจโดนบีบอัดจาก Google Photos

เนื่องจากมีโอกาสทดสอบทั้ง Note FE และ Note 8 เลยเปรียบเทียบคุณภาพของกล้องในช็อตเดียวกันด้วยเลย เน้นเฉพาะถ่ายกลางคืนเป็นหลักนะครับ ทุกภาพถ่ายด้วยโหมด Auto และอาจถูกบีบอัดด้วย Google Photos

ในสภาพที่มีแสงจากหลอดไฟอยู่พอสมควร แทบไม่เห็นความแตกต่างระหว่างกล้อง Note FE และ Note 8 ถือว่าทำผลงานได้ดีทั้งคู่

ซีนงานแต่งงานตอนกลางคืน ผลงานก็ออกมาดีทัดเทียมกัน

ลองถ่ายในสภาพแสงที่น้อยลงไปอีก วังบางขุนพรหมตอนกลางคืน ที่มีไฟส่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะเห็นว่ากล้องของ Note 8 ทำงานได้ดีกว่าหน่อย สังเกตจากพุ่มไม้ที่มุมขวาล่าง ซึ่งเป็นจุดที่ไฟส่องไม่ถึง กล้องของ Note 8 เก็บภาพได้ดีกว่า Note FE (แต่ก็ถือว่า Note FE ทำผลงานได้ดีมากแล้วเช่นกัน)

ลองคร็อปภาพที่ 100% มาดูความแตกต่าง (ภาพในเว็บถูกย่อ 50% กดดูภาพเต็มได้ใน Flickr) จะเห็นว่ากล้องของ Note FE (บน) เก็บรายละเอียดสู้ Note 8 (ล่าง) ยังไม่ได้ในบางจุด เช่น ตรงลายที่ขอบหน้าต่างจะเห็นได้ชัดเจน

ในภาพรวมแล้วก็ต้องบอกว่ากล้องของ Note FE ทำงานได้ดีมาก จะมีแพ้ Note 8 ที่ใหม่กว่ากัน 1 ปีก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แถมยังแพ้เฉพาะในช็อตยากๆ ที่ไม่ได้ถ่ายกันบ่อยๆ ด้วย

สรุป: มือถือมีปากกา ความสามารถเพียบพร้อม ราคาคุ้มค่า

Galaxy Note Fan Edition ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจมาก สำหรับผู้ใช้ Galaxy Note รุ่นก่อนๆ (อย่าง Note 4 หรือ Note 5) ที่ต้องการอัพเกรดมือถือใหม่ แต่คิดว่าราคาของ Note 8 แรงเกินไป

ในราคาสองหมื่นต้น Galaxy Note FE เพียบพร้อมทั้งในแง่ดีไซน์ สเปก ฟีเจอร์ มีฮาร์ดแวร์ปากกาที่ทัดเทียม Note 8 มีกล้องที่ดีมาก และมีจุดเด่นเหนือกว่า (สำหรับบางคน) ตรงที่เครื่องเล็กกว่า น้ำหนักเบากว่า และกดสแกนลายนิ้วมือด้านหน้าได้สะดวกกว่า

ราคาที่แตกต่างกันเป็นหลักหมื่น การได้มือถือที่เก่ากว่ากันหน่อย เซ็กซี่น้อยกว่าหน่อย แต่ยังตอบโจทย์การใช้งานได้พร้อมสรรพ จึงถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว สุดท้ายก็คงขึ้นกับผู้ซื้อว่าจะเลือกทางไหนระหว่างเรือธงตัวท็อปสุด หรือเรือธงปีก่อนหน้าที่ราคาย่อมเยาลงมา

Blognone Jobs Premium