Priceza ผู้ให้บริการเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นค้นหาสินค้าและเปรียบเทียบราคา จัดงาน Priceza E-Commerce Award ภายในงานมีสัมมนาโดยผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซโดยแบ่งเป็นสามช่วงคือ เทรนด์อีคอมเมิร์ซในปี 2018, โลจิสติกส์ และ E-Payment
สัมมนาช่วงแรกพูดเรื่องแนวโน้มอีคอมเมิร์ซในปี 2018 ผู้ร่วมสัมมนาประกอบด้วย
ศิวัตร จาก GroupM ระบุสิ่งที่จะได้เห็นในวงการอีคอมเมิร์ซปีหน้านี้คือ C2C (Consumer to Consumer) หรือการซื้อขายกันเองในกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นเคยกันมานานแล้ว แต่จะชัดเจนมากขึ้นใน marketplace ช่องทางต่างๆ ตัวผลักดันสำคัญที่ทำให้ C2C เกิดขึ้นแพร่หลายคือระบบชำระเงินที่สะดวกกว่าเดิม mobile banking ช่วยให้ผู้บริโภคมีความคุ้นเคยกับการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าออนไลน์ เมื่อ C2C คึกคัก เดี๋ยว B2C (Business to Consumer) ก็จะคึกคักมากขึ้นตามไปด้วย และยังทำให้คนมีมากกว่าหนึ่งอาชีพ ถือเป็นเทรนด์ทั่วโลก
ศิวกร จาก Shopee ระบุว่านอกจาก C2C แล้วก็จะมีเจ้าใหญ่มาอำนวยความสะดวกให้รายเล็กขายของง่ายขึ้น การแข่งขันสินค้าอีคอมเมิร์ซจะเห็นชัดมากในปี 2018 จำนวนสินค้าใน marketplace จะเพิ่มขึ้นมหาศาล
ยุทธนา จาก Tesco Lotus บอกว่า พฤติกรรมผู้บริโภคจะคุ้นเคยการซื้อของออนไลน์มากขึ้น เพราะผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลกเข้ามาในประเทศไทย อีกพฤติกรรมที่จะตามมาคือ คุ้นชินกับการซื้อของลดราคา ซึ่งเจ้าใหญ่จะได้เปรียบ
ผรินทร์ จาก Nasket บอกว่าเทรนด์อีคอมเมิร์ซปี 2018 คือแบรนด์ใหญ่จะแย่งชิงพื้นที่สื่อใหญ่และสื่อออนไลน์มากเพื่อต้องการให้คนเห็น ดังนั้นเราจะมีโอกาสได้เห็นการทำโฆษณาของแบรนด์กลางและเล็กที่ต้องใช้ความสร้างสรรค์แบบเฉพาะตัวมากขึ้น เพราะไม่สามารถทุ่มเงินชิงพื้นที่สื่อได้เท่ารายใหญ่แน่นอน
สัมมนาช่วงที่ 2 หัวข้อ E-Logistics – Trends to Follow ผู้เข้าร่วมสัมมนามี
วิทยากรทั้งสามมีความเห็นตรงกันว่าการขนส่งคือหนึ่งในประสบการณ์ลูกค้าที่ส่งผลต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซนั้นๆ ด้วย บางแบรนด์ใช้จุดขายส่งไวเป็นตัวชูโรงหลัก ดังนั้นจะดีกว่าหรือไม่ถ้าแบรนด์อีคอมเมิร์ซต้องทำระบบขนส่งของตัวเอง
สุทธิเกียรติ จาก SHIPPOP ให้คำตอบว่าไม่จำเป็น เพราะเรื่องการขนส่งมีมืออาชีพในตลาดนี้มาก และจำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญด้านการขนส่ง หากแบรนด์ทำระบบขนส่งเอง นั่นหมายความว่าแบรนด์ต้องมาจับงานขนส่งซึ่งมีรายละเอียดยิบย่อยสูงมาก ถ้าโฟกัสที่การขายสินค้าได้อย่างเดียวจะดีกว่า
โยจิ จากเอสซีจี ยามาโตะ เอ็กซ์เพรส พูดถึงบริษัทแมวดำผู้ให้บริการขนส่งในญี่ปุ่นว่า มี network เข้มแข็ง วงจรการส่งพัสดุมีความเสถียรสูงมาก แต่ก็ยังจำกัดอยู่ที่วันละสามครั้งคือ เช้า สาย เย็น ไม่บ่อยไปกว่านี้ หากอีคอมเมิร์ซต้องการมีระบบขนส่งของตัวเองต้องมีจุดประสงค์ที่ชัด เช่น ส่งของภายในวันเดียว ภายใน 3 ชั่วโมง เป็นต้น
โยจิ จากเอสซีจี ยามาโตะ เอ็กซ์เพรส
ในด้านการใช้เทคโนโลยีพัฒนาระบบขนส่ง ให้การขนส่งยังพื้นที่จังหวัดห่างไกลโยจิ จากเอสซีจี ยามาโตะ เอ็กซ์เพรสให้มุมมองต่อเรื่องนี้ว่า ถ้ากระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบเป็นระบบดิจิทัลได้จะดีมาก ขั้นตอนเดียวที่เป็นออฟไลน์คือตอนรับของหน้าบ้าน ฉะนั้นประสบการ์ณดิจิทัลต้องเสถียร คุณภาพบุคลากรก็สำคัญไม่แพ้กัน ทั้งการเก็บรักษาวัสดุ การขับขี่ การอบรมขับขี่ปลอดภัย จากประสบการณ์การทำงานของตนพบว่ามีพาร์ทเนอร์บางรายมานั่งกับคนขับรถส่งของด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าคนส่งของจะส่งของได้เป็นอย่างดี
เมื่อต้องทำนายอนาคตโลจิสติกส์และอีคอมเมิร์ซ สุทธิเกียรติ จาก SHIPPOP ระบุว่า อนาคตจะแชร์โลเคชั่นผ่านแอพในการรับของแทนการระบุที่อยู่ ช่วยให้ส่งของแม่นยำขึ้น ด้าน โยจิ จากเอสซีจี ยามาโตะ เอ็กซ์เพรส ระบุว่าระบบขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิจะเป็นเทรนด์ในอนาคต เช่น ของกิน ขนม ของหวาน เนื้อสัตว์ ปลาดิบ ญี่ปุ่นมีแล้ว และถ้าที่ไทยมีก็จะสร้างโอกาสมหาศาลให้ตลาด
หัวข้อสุดท้ายของการสัมมนาคือ E-Payment – The Present & Future ผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย
แบรนด์อีคอมเมิร์ซบางรายใช้กลยุทธ์ Collect on delivery หรือ COD เก็บเงินลูกค้าปลายทาง ผู้ดำเนินรายการถามว่าในมุมมองของคนทำ E-Payment มองเรื่องนี้อย่างไร
กิติพงศ์ จาก mPay บอกว่าในมุมของคนทำ E-Payment เทรนด์ COD เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ เพราะมันไม่เกิดการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่ COD ตอบโจทย์ลูกค้าเรื่องความมั่นใจในการซื้อสินค้า มันเลยเติบโต
สมหวัง จาก PayPal บอกว่าปฏิเสธไม่ได้ว่าคนยังนิยมการเจอหน้าและจ่ายเงิน แต่หัวใจหลักอีคอมเมิร์ซคือจ่ายก่อนแล้วส่งของ แบรนด์หลายเจ้าจึงเริ่มมีแนวโน้มไปใช้วิธีเก็บเงินปลายทาง อย่างไรก็ตามยังมีแบรนด์เล็กที่ใช้ E-Payment มาก เพราะยังไม่มั่นใจในลูกค้าเต็มที่ อนาคตแนวโน้ม COD จะลดลงเพราะการบริการลักษณะนี้มีต้นทุนจนแบรนด์หลายรายจะเริ่มคิดว่าไม่คุ้ม หันมาใช้ช่องทาง E-Payment
สมคิด จากธนาคารกสิกรไทยระบุว่า ต่อไปการจ่ายเงินอิเล็กทรอนิกส์แพร่หลายแน่นอน เพราะนอกจากพร้อมเพย์แล้ว อนาคตจะมีฟีเจอร์ช่วยการจ่ายเงินมากขึ้น เช่น Request to Pay คือการทวงเงินนั่นเอง ระบบจะส่งข้อความทวงเงินไปกองที่ i-banking ของผู้รับ สามารถกดยืนยันการจ่ายเงินได้ พร้อมเพย์ยังใส่ลงไปใน QR code มาตรฐานการจ่ายเงินได้ สามารถใส่ขอมูลบัตรเครดิตได้ หรือใส่รหัสพร้อมเพย์ลงไปได้ หรือใส่รูปแบบอื่นเช่น ระบุเลขสั่งซื้อสินค้า คนขายจะรู้ได้ว่าคนที่จ่ายเงินมาสั่งสินค้าอะไร