ในงานแถลงผลประกอบการของนินเทนโดไตรมาสล่าสุด นินเทนโดอธิบายปัจจัยความสำเร็จของ Nintendo Switch ที่กวาดรายได้มหาศาลในช่วงเทศกาลปลายปีครั้งแรกของคอนโซลตัวนี้ ว่ามาจากการวางแผนยุทธศาสตร์มาเป็นอย่างดี (ยังไม่รวมปัจจัยเรื่องตัวผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใครในตลาด)
ปัจจัยแรกมาจากกำหนดวางขาย Switch ที่เลือกวางขายช่วงเดือนมีนาคม (ต้นปี) ต่างจาก Wii และ Wii U ที่วางขายช่วงเทศกาลปลายปี เป้าหมายของนินเทนโดคือการสะสมฐานผู้เล่น Switch เอาไว้ก่อน แล้วค่อยมาระเบิดยอดขายในช่วงเทศกาลปลายปี ซึ่งเกินความคาดหมายของนินเทนโดด้วยซ้ำ
จากกราฟจะเห็นว่ายอดขายในสหรัฐของ Switch ช่วงแรกจะตามหลัง Wii แต่พอรวมยอดขายช่วงเทศกาลด้วย Switch แซงชนะ Wii ได้สำเร็จ
ปัจจัยข้อที่สองคือ แผนการเปิดตัวเกมดังอย่างต่อเนื่อง (ปัญหาสำคัญของ Wii U ที่นินเทนโดพลาด) โดยในปี 2017 นินเทนโดมีเกมเด่นบน Switch ทยอยเปิดตัวทุกเดือน เกมขายดี 4 อันดับแรกคือ Super Mario Odyssey (7.5 ล้าน), Mario Kart 8 Deluxe (6.5 ล้าน), The Legend of Zelda: Breath of the Wild (6 ล้าน), และ Splatoon 2 (4.5 ล้าน)
นินเทนโดสรุปสถิติให้ดูยอดขายเกมในช่วง 10 เดือนแรกระหว่าง Switch กับ Wii จะเห็นได้ว่ายอดขายเกมของ Switch แซงหน้า Wii อยู่พอสมควร กรณีของ Wii Sports ยอดขายรวมอาจดูเยอะ เพราะนินเทนโดใช้วิธีขายพ่วงเครื่องในบางภูมิภาค แต่ถ้าดูเฉพาะยอดขายเกมแยก (กราฟแท่งสีฟ้า) จะเห็นว่ายอดขายก็ไม่ได้เยอะนัก
นินเทนโดจะยังใช้ยุทธศาสตร์นี้ต่อไปในปี 2018 โดยเกมดังของตัวเองที่รอวางขายคือ Bayoneta 2 (กุมภาพันธ์), Kirby Star Allies (มีนาคม), Nintendo Labo (เมษายน), Donkey Kong Country Tropical Freeze (พฤษภาคม), Mario Tennis Aces (ฤดูใบไม้ผลิ) และเกมใหม่ของ Yoshi (ยังไม่ระบุเดือน) และเนื้อหา DLC ของเกมเดิมๆ ที่วางขายไปแล้ว รวมถึงเกมดังจากบริษัทอื่นๆ อีกมาก เช่น Dragon Quest XI, Rockman 11, Octopath Traveler, Arena of Valor (RoV)
สุดท้ายคือบริการ Nintendo Switch Online แบบจ่ายเงิน ที่เคยสัญญาไว้ว่าจะเปิดตัวในปีนี้ มีกำหนดแล้วว่าจะเป็นเดือนกันยายน 2018
ที่มา - Nintendo