บริษัทเอกชนที่รับงานเกี่ยวกับอวกาศ รวมถึงยิงจรวดให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกา นอกจาก SpaceX แล้วก็มี ULA หรือ United Launch Alliance ที่เป็นการร่วมทุนระหว่าง Lockheed Martin Space Systems กับ Boeing Defense, Space & Security โดยมีจรวดหลักอยู่ 3 รุ่นคือ Delta II, Delta IV และ Atlas V นอกจากนี้ยังมีจรวดอีกรุ่นที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ชื่อ Vulcan ซึ่ง ULA ผูกขาดการยิงจรวดให้รัฐบาลสหรัฐฯ มากว่าสิบปี ก่อน SpaceX จะฟ้อง และได้รับภารกิจปล่อยดาวเทียม GPS ให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ ในปี 2016
เมื่อสัปดาห์ก่อน Doug Ellison ทำงานเป็น visualization producer ด้านอวกาศทวีตว่าจรวด Delta IV Heavy ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหญ่สุดของ Delta IV มีจรวด 3 ลำมัดติดกันแบบเดียวกับ Falcon Heavy นั้นอาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่า Falcon Heavy ได้ในบางกรณี
ต่อมา Elon Musk ซีอีโอของ SpaceX ได้ทวีตตอบกลับว่าข้อมูลที่ Ellison เอามาคำนวณนั้นคลาดเคลื่อน และต่อให้ข้อมูลถูกต้อง ค่าใช้จ่ายของ Falcon Heavy อยู่ที่เพียง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ของ Delta IV Heavy อยู่ที่ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนั้น Tony Bruno ซีอีโอของ ULA ก็เข้ามาร่วมวงสนทนา ระบุว่าค่าใช้จ่ายของ Delta IV Heavy อยู่ที่ 350 ล้านทั้งตอนนี้และในอนาคต
จากนั้นก็มีผู้ใช้ทวิตเตอร์อีกรายเข้ามาบอกว่า Delta IV Heavy จะทำภารกิจปล่อย Parker Solar Probe ที่ราคา 389.1 ล้าน โดยเซ็นสัญญาไว้เมื่อปี 2015 อย่างไรก็ตาม Elon ไม่เชื่อว่าค่าใช้จ่ายจะต่ำได้อย่างที่อ้าง และได้โต้กลับไปว่าสัญญานั่นเซ็นไว้ 3 ปีแล้ว ก่อนที่ ULA จะยกเลิกจรวด Delta IV Medium (เป็นจรวดลำเดี่ยว) ทำให้ภารกิจในอนาคตของจรวด Delta หลังปี 2020 จะสูงขึ้นเป็น 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือมากกว่านั้น
เมื่อการสนทนาเริ่มเข้มข้น ก็มีผู้ใช้ทวิตเตอร์อีกคนเข้ามาแสดงความเห็นว่าหลังปี 2020 ULA น่าจะยกเลิกจรวด Delta และเปลี่ยนไปใช้ Vulcan แทน ซึ่งมีแผนยิงครั้งแรกในปี 2019 แต่ตอนนี้อาจเลื่อนไปเป็นกลางปี 2020 อย่างเร็วที่สุด ซึ่ง Elon ก็ตอบกลับว่าเขาจะโชว์กินหมวกแก๊ปของ The Boring Company ทามัสตาร์ด ถ้าจรวด Vulcan ถูกยิงพร้อมปล่อยยานอวกาศได้สำเร็จก่อนปี 2023
สุดท้าย Bruno ได้ตอบกลับเพียงสั้นๆ ว่า "Wow"
เราคงต้องรอกันอีกอย่างน้อย 2 ปี กว่าจะได้รู้กันว่า ULA จะยิงจรวดรุ่นใหม่สำเร็จไหม และ Elon จะกินหมวกโชว์จริงๆ หรือไม่
ที่มา - Ars Technica